ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต:
จากสังคมการเกษตรแบบดั้งเดิม สู่ยุคการเกษตรแบบทุนนิยมและก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม มีการนำเครื่องจักรไอน้ำมาพัฒนาไปสู่เครื่องจักรกล เกิดเป็นพลังการผลิตแทนแรงงานคน และสัตว์ โลกจึงมีพลังการผลิตจำนวนมาก (Mass Production) สภาพสังคมเปลี่ยนไปสู่การตลาดและบริโภคนิยม ก้าวเข้าสู่ความทันสมัย (Modern) สภาพสังคมซับซ้อน หลากกหลาย ภายในระบบสังคมแบบทุนนิยม
โลกที่ก้าวเข้ายุคสังคมทุนนิยมเต็มรูปแบบ เมื่อเข้ามาถึงยุคเทคโนโลยีที่นำระบบเทคโนโลยี มาผนวกเข้ากับระบบอุตสาหกรรม ทำให้อุตสาหกรรมมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคมเศรษฐกิจด้วยพลังแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ซึ่งส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์- โลกไร้พรมแดน – เศรษฐกิจเสรี – ธุรกิจข้ามชาติ – หมู่บ้านโลก
อุดมคติของการพัฒนาคือ ภาพอันหนึ่งเกี่ยวกับความก้าวหน้าของมนุษย์จากการใช้แรงงานในสังคมเกษตรกรรม ไปสู่รูปแบบของสังคมอุตสาหกรรม จากนั้นก็ก้าวหน้าไปสู่การพัฒนาไปสู่สังคมที่มีลักษณะเป็นสังคมอุตสาหกรรมบริการ ที่ได้รับการวัดโดยดัชนีทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะกลายเป็นปลายทางซึ่งทุกๆ สังคมควรมุ่งปรารถนาที่จะพัฒนาไปเป็นเช่นนั้น
แต่เส้นทางที่ทำให้เป็นประเทศพัฒนาขึ้นมานั้นคือ การสะสมอย่างไม่รู้จักพอและการบริโภคอย่างเต็มกำลัง มันไม่ได้สร้างความสุขแท้ แต่มันสร้างความพึงพอใจชั่วขณะซึ่งเมื่อหมดศักยภาพที่จะทำให้พึงพอใจ มนุษย์ก็จะมีความต้องการอื่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งสะสมและบริโภคมากขึ้นไปอีก
ในสมัยก่อน มนุษย์ได้ถูกทำให้เป็นทาส ภายใต้การบีบบังคับทางร่างกาย แต่ปัจจุบัน พวกเขาได้ถูกทำให้ตกเป็นทาส โดยความยั่วยวนใจของเงินและความฟุ่มเฟือยที่เงินทองสามารถซื้อหามาได้ มนุษย์ถูกปิดล้อมอยู่ด้วยบริโภคนิยมที่ส่งเสริมลัทธิทุนนิยมซึ่งได้เปลี่ยนแปลงเกือบทุกสิ่งไปเป็นสินค้าและแปรเปลี่ยนเกือบทุกๆ ที่ไปเป็นสถานที่ที่ทำการผลิต แม้กระทั่งที่ดินซึ่งรกร้างว่างเปล่าหรือทะเลทรายก็ยังกลายเป็นสินค้าไปได้ นั่นคือ สินค้าบริการ วาทกรรมทางการเมืองเกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นของชาติใดต่างยอมรับในคุณค่าของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ในฐานะที่เป็นทางออกของความทุกข์ยากของมวลมนุษย์ การแสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุเป็นแนวทางขั้นต้นอันหนึ่งของการพัฒนา แต่ก็นำมาซึ่งวิกฤตการณ์โลกอยู่เสมอ
ลัทธิอุตสาหกรรมนิยมที่แผ่ขยายกว้างออกไปเกี่ยวพันกับการที่มนุษย์ได้เข้าไปแทรกแซงและก้าวก่ายต่อระบบต่างๆ ของธรรมชาติซึ่งชีวิตได้วิวัฒนาการขึ้นมา ความพยายามที่จะเป็นนายเหนือธรรมชาติจากแนวคิด Knowledge is power ของฟรานซิส เบคอน ได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์ต่างๆ ในหลายสิ่งหลายอย่าง โดยไม่มีใครขัดขวาง การกระทำเช่นนั้น ได้กลายเป็นความรุนแรงที่มีมากขึ้นโดยไม่อาจคาดการณ์ได้และไม่น่าพึงพอใจต่อผลข้างเคียงที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ ฝนกรด ความเปลี่ยนแปลงของสภาพบรรยากาศโลก มลภาวะทางน้ำ และมลพิษทางอากาศ รวมทั้งผลกระทบที่มีต่อร่างกายของคนเรา ซึ่งที่กล่าวมานี้ล้วนส่งผลต่อมนุษย์และธรรมชาติที่มนุษย์ได้พึ่งพาอาศัยในการดำรงอยู่ก็ได้ตกอยู่ภายใต้การคุกคามของมนุษย์เอง
ความพยายามอันล้มเหลวที่จะควบคุมธรรมชาติ เมื่อเชื่อมโยงกันกับความรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับผลพวงต่างๆ ของการเข้าไปก้าวก่ายต่อธรรมชาติได้ผลักให้เราไปสู่ความเสี่ยงต่างๆ มากยิ่งขึ้น ภายใต้บริบทนี้ การยอมรับเกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์ของความรู้ ได้มาตักเตือนเราต่อการที่จะดำเนินรอยตามความเป็นนายเหนือธรรมชาติ โดยแสดงให้เห็นการดำรงอยู่โดยคล้อยตามธรรมชาติ แต่ในข้อเท็จจริง ความพยายามในการควบคุมธรรมชาติก็ยังดำรงอยู่ในวิถีการจัดการในทุกระดับ หากจะปฏิเสธเป้าหมายต่างๆ ของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการควบคุมธรรมชาตินั้นย่อมหมายความว่า เราจะต้องยุติกระบวนการการพัฒนาทางเศรษฐกิจลงเสีย แต่การนึกคิดหรือจินตนาการถึงจุดจบของการพัฒนาเช่นนี้ก็คุกคามต่ออัตลักษณ์หรือวิญญานของยุคสมัยใหม่อย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้เพราะ ความคิดเรื่องการพัฒนาเป็นสิ่งค้ำประกันความเป็นนวยุคภาพที่กระบวนทรรศน์วิทยาศาสตร์ได้สร้างความหวังไว้แก่มนุษย์มากว่า 200 ปี ผู้ที่ถือกระบวนทรรศน์วิทยาศาสตร์ย่อมใช้เหตุผลอ้างถึงความหวังของการพัฒนาการทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อการบรรลุถึงเสรีภาพ สันติภาพและความยุติธรรม เหตุผลนี้เองที่ถูกยึดถือกันอย่างยึดมั่นถือมั่นและค้ำประกันความคิดเรื่องการพัฒนา แน่นอนที่ทุกฝ่ายจะต้องเชื่อในการพัฒนาเพื่อขจัดปัดเป่าความสิ้นหวัง ความทุกข์ยาก แต่การตีความใหม่บนความเป็นจริงของปรากฏการณ์ต่างๆ ของโลก ทำให้เราต้องพิจารณาการพัฒนาในลักษณะยืดหยุ่นเพื่อความยั่งยืน
ในชั้นนี้ต้องพิจารณาภาษาของการพัฒนาที่เป็นโฆษณาชวนเชื่อ แนวความคิดของการพัฒนาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความห่วงใยและความรัก ในทางทฤษฎีการพัฒนาย่อมเกี่ยวพันกับการคลี่คลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความมีอิสระของบางสิ่งบางอย่างที่ถูกบีบบังคับเอาไว้แต่เดิม การเคลื่อนย้ายข้อจำกัดควบคุมภายนอกออกไปและความงอกงามของศักยภาพต่างๆ
ความคิดเกี่ยวกับการพัฒนานั้น คนแต่ละคนจะมีอิสระจากข้อจำกัดภายนอกเพื่อไปถึงคุณความดีของตัวมันเอง นั่นคือ การพัฒนา เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับมนุษย์ แนวความคิดนี้มองว่าผู้คนทั้งหลายและสังคม ต่างมีศักยภาพที่แท้จริงของตัวมันเองและศักยภาพนั้นสามารถเจริญงองกงามไปสู่ความสมบูรณ์พร้อมได้ โดยเบื้องต้นแล้ว แนวความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาจะมีลักษณะที่คลุมเครืออยู่สองนัยยะ ตามทฤษฎีที่แตกต่างกัน 2 ทฤษฎีเกี่ยวกับศักยภาพของการพัฒนา กล่าวคือ
นัยยะแรก เป็นเรื่องของทิศทางการเจริญเติบโตทางด้านศักยภาพของผู้คนที่เป็นการกำหนดตัดสินใจโดยตัวของพวกเขาเอง
ในขณะที่นัยยะที่สอง มองว่าศักยภาพของผู้คนได้ถูกกำหนดมาล่วงหน้าหรือมีอยู่ก่อนแล้วจากภายนอกของการพัฒนา
การพัฒนาตามนัยยะแรก บ่งถึงวิสัยทัศน์อันหนึ่งเกี่ยวกับความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์และความหลากหลายที่ซึ่งผู้คนและสังคมได้รับอิสระจากข้อจำกัดภายนอกและได้ค้นพบศักยภาพต่างๆ ด้วยตัวตนของพวกเขาเอง ไม่มีการควบคุม หรือถูกจำกัด ผู้คนและสังคมงอกงามขึ้นตามวิถีทางของพวกเขาเองโดยเฉพาะ
การพัฒนาตามนัยยะที่สองมีลักษณะตรงกันข้าม คือ มนุษย์ต้องมองเห็น มีทรรศนะ หรือต้องเผชิญหน้ากับธรรมชาติที่อยู่ในรูปแบบเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นแนวทางตามอุดมการณ์สมัยใหม่ที่เกิดจากลัทธิอุตสาหกรรมนิยมที่มีลักษณะผลิตซ้ำให้เป็นแบบเดียวกันและก็เป็นกระแสหลักของโลกาภิวัตน์ซึ่งผู้คนทั้งหมดและทุกๆหนแห่งต่างเดินตามกระแสนี้โดยพร้อมเพียงกันและไม่มีใครอยากได้ชื่อว่าตกกระแส
เมื่อมโนคติเกี่ยวกับการพัฒนาเน้นคุณค่าว่า การพัฒนาจะช่วยรักษาหรือเยียวยาความจนได้ ดังนั้น การพัฒนาจึงเป็นหนทางที่นำไปสู่ความยุติธรรมของโลก การพัฒนาจึงได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับสังคมต่างๆ การพัฒนาตามนัยยะที่สองได้มีอิทธิพลครอบงำเหนือกว่านัยยะที่หนึ่งซึ่งไม่อาจคาดการณ์ พยากรณ์หรือชี้วัดเป็นรูปธรรมได้ชัดเจน ความเป็นจริงเกี่ยวกับพัฒนาการทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นประวัติศาสตร์ของที่สะท้อนการรุกรานและการต่อต้าน จึงเป็นความขัดแย้งและความรุนแรงเสมอมา เช่น ยุคล่าอาณานิคมก็ได้เกิดขึ้นเพราะข้ออ้างในการพัฒนาดินแดนอันป่าเถื่อน โดยเจ้าของดินแดนนั้นไม่ได้เต็มใจที่จะพัฒนาตามอย่างที่ชาติยุโรปต้องการ บรรดาประเทศที่ยากจนของโลกถูกกดทับให้กลายเป็นประเทศด้อยพัฒนา (underdeveloped) และถัดมาก็คือ ประเทศที่ กำลังพัฒนา (developing) เพื่อมุ่งหวังให้ประเทศเหล่านี้พัฒนาไปสู่ประเทศพัฒนาแล้ว (developed) ที่ร่ำรวย มั่งคั่ง อย่างไรก็ตาม ระหว่างการพัฒนาที่ผ่านมาหลายสิบปีนี้ ประเทศพัฒนาแล้วที่รวยก็รวยยิ่งขึ้นไป ที่พลัดตกขบวนก็ประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจจนถึงขั้นเกือบพินาศสิ้น แต่กระนั้น ในภาพรวมช่องว่างระหว่างความรวยและความจนก็ได้ถ่างออกไปมากขึ้น และเกือบทุกสังคมได้ถูกดึงเข้าไปพัวพันหรือติดแน่นอยู่กับตาข่ายใยของการพัฒนาแบบผลิตซ้ำไปสู่สังคมเกินจริง (hyperreality society)
สังคมอุดมคติในแบบเดียวกันได้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นจินตนาการในฐานะที่เป็นมาตรฐานของความเจริญงอกงามของสังคมมนุษย์ทุกๆสังคม อุดมคติแบบยูโธเปียที่มีลักษณะเดียวกันนี้ ได้ให้อำนาจการเข้าไปแทรกแซงหรือก้าวก่ายต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์และสังคมต่างๆ โดยอ้างหลักการเพื่อความดีงามของพวกเขา เมื่อไม่อาจเกิดยูโธเปียได้จริง ก็เกิด การลดทอนยูโธเปียลงมาสู่โปรแกรมทางเศรษฐกิจหนึ่ง โดยมีตัวชี้วัดเพื่อให้เห็นระดับของการพัฒนาเมื่อเทียบกับมาตรฐานของประเทศพัฒนาแล้ว เพื่อที่จะสามารถวัดได้ในเทอมต่างๆ ของเศรษฐกิจ ละความเป็นมนุษย์ ผ่านการจัดลำดับได้ในระดับสูงต่ำ ลำดับที่ในภูมิภาค ทวีป หรือในโลก เพื่อชี้ว่าต้องพัฒนาอะไรเพิ่ม ทั้งๆ ปลายทางของการพัฒนาอยู่จุดใดก็ยังไม่ชัดเจน เพราะขาดเป้าหมายในระดับปรัชญา หากแต่ก็ปิดบังไว้โดยอ้างเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (continuous development)
การพัฒนาก็อาจจะสร้างความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
แต่เดิมเชื่อกันว่า การพัฒนาจะทำให้ประชาชนมีความมั่งคั่งร่ำรวยได้อย่างเท่าเทียมกัน แต่ยิ่งพัฒนามากเท่าใด คนในประเทศที่พัฒนาแล้วกลับยิ่งมั่งคั่งร่ำรวยกว่าประเทศด้อยพัฒนา ในกระบวนการพัฒนานี้มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ได้รับผลเต็มที่ของการพัฒนา นี่จึงเป็นโอกาสที่ควรจะมาคิดทบทวนกันใหม่เกี่ยวกับอุดมการณ์ของการพัฒนา เพราะมาถึงตอนนี้ การพัฒนาที่ยั่งยืนย่อมมามีบทบาทโดยนำนัยยะแรกมาเพิ่มความสำคัญ นั่นคือ ต้องเน้นใน 2 หัวข้อคือ
ข้อแรก ไม่มีใครจะปฏิเสธคุณค่าของการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เหนือกว่าการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ไม่มีใครปฏิเสธความเร่งด่วนของวิกฤตการณ์ทางนิเวศวิทยา แต่ก็จะต้องไม่นำคุณค่าเหล่านี้มาเป็นเหตุผลอ้างของการพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่จะต้องให้ความยั่งยืนนอนเนื่องอยู่ในอุดมการณ์ของการพัฒนาในตัวมันเอง ไม่ใช่ความยั่งยืนเพื่อต่อต้านหรือคัดค้าน แต่ต้องส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้เกิดการปรับท่าทีอย่างเหมะสมเท่านั้น
ข้อที่สอง มโนคติว่าด้วยความยั่งยืนได้กดทับความปรารถนาที่จะร่ำรวยมั่งคั่งสูงสุด และก็มิได้เสนอภาพความยั่งยืนที่เป็นรูปธรรม นั่นคือ ไม่มีระดับของความยั่งยืนที่ชัดเจน และไม่มีสเกลของความยั่งยืนในระดับชุมชนหมู่บ้าน ประเทศและของโลกที่ควรจะเป็น ดังนั้น การพัฒนาอย่างยั่งยืนจึงเป็นเพียงวิถี เป็นสภาวะ ไม่ใช่เป้าหมายของการพัฒนา หากแต่ อุดมคติเกี่ยวกับความยั่งยืนของท้องถิ่นหรือภูมิภาคต้องกำหนดวิสัยทัศน์ว่าจะส่งเสริมชุมชนต่างๆของมนุษย์ในขอบเขตของท้องถิ่นโดยผลผลิตที่ชุมชนทำขึ้นมานั้นก็จะเป็นไปตามความต้องการของชุมชนเอง เป้าหมายของการพัฒนาจึงจะเกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานและการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสถานที่อันหลากหลาย ความเป็นอยู่ภายในขอบเขตของพื้นที่ตัวเอง การพัฒนาที่หลากหลายจะเกี่ยวพันกับรูปแบบต่างๆ ของชีวิตทางสังคม แต่ความยั่งยืนในระดับประเทศ กลับต้องมองปัจจัยทางเศรษฐกิจอีกหลายประการ และในระดับโลกที่เศรษฐกิจโลกได้ชี้นำและสร้างปัญหามาอย่างต่อเนื่อง หากการพัฒนาอย่างยั่งยืนปล่อยให้เกิดการพัฒนาไปอย่างหลากหลาย ย่อมไม่อาจพยากรณ์ถึงอนาคตของโลกได้ นักพัฒนาจึงได้ร่วมมือกันในระดับนานาชาติ และกำหนดระบบกฎเกณฑ์ที่ตกลงร่วมกันเพื่อการดูแลควบคุมการพัฒนาและการจัดการผลประโยชน์ร่วมกันซึ่งก็ต้องระวังการเอาเปรียบของประเทศที่พัฒนาแล้วต่อไป
ข้อที่สาม การพูดถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนในฐานะที่เป็นโครงการสำหรับอนาคต ต่างฝ่ายต่างก็ได้ซ่อนเร้นความเป็นไปได้ในผลประโยชน์เกี่ยวกับความต่อเนื่องของการพัฒนาเอาไว้
ข้อที่สี่ อะไรที่ถูกทำให้ยั่งยืน การพัฒนาอย่างยั่งยืนมุ่งเน้นเพียงมนุษย์และสังคมของมนุษย์เท่านั้นที่ถูกทำให้ยั่งยืนหรือไม่ โครงการเกี่ยวกับความยั่งยืนจะต้องเป็นสิ่งที่กว้างขวางและครอบคลุมรูปแบบอื่นๆอีกเป็นจำนวนมากของชีวิตบนโลก การพัฒนาต้องปรับท่าทีต่อความคิดที่มองมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (antropocentric) ของสรรพสิ่ง มนุษย์จะต้องมองความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดในธรรมชาติในระดับความเสมอภาค
ความผิดพลาดที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง หากการพัฒนาที่ผ่านมาอิงแอบอยู่ภายในแกนของความเจริญทางเศรษฐกิจ สำหรับมุมมองทางเศรษฐกิจซึ่งได้รวมเอาลำดับขั้นต่าง ๆ อันสลับซับซ้อนมากมายมารวมกันไว้ สิ่งเหล่านี้ได้มาบดบังปัญญารู้ของเรา และนำเสนอสิ่งที่ผิดพลาดต่างๆ ภายใต้อุดมการณ์เกี่ยวกับการพัฒนา เมื่อผู้คนได้ข้ามไปสู่ลัทธิบริโภคนิยม พวกเขาก็ได้ทอดทิ้งชีวิตที่เกี่ยวพันกับชุมชนท้องถิ่นเอาไว้เบื้องหลัง และมีความเชื่อว่าวัตถุนิยมและบริโภคนิยมสามารถสร้างสรรค์ความสุขขึ้นมาได้ นี่คือ มายาภาพที่ทรงทรงพลังที่แผ่ซ่านไปทั่ว ผ่านวาทกรรมทางเศรษฐกิจ มนุษย์ต้องการปัจจัย 4 แต่ก็เพียงในจำนวนเท่าที่จำเป็น แต่ความมั่งคั่งทางวัตถุกลับถูกสร้างและสะสมให้เพิ่มพูนขึ้นโดยเชื่อว่าความอุดมสมบูรณ์ทางวัตถุจะยังผลให้เกิดความสุขขึ้นมาได้ จุดหวนคิดควรเกิดกับปัญญาชนทั้งหลาย นั่นคือ มนุษย์ผู้เป็นสัตว์มีปัญญาทั้งหลายนั่นเอง

