ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต

ความไม่ยึดมั่นถือมั่น (detachment) คือ ความเป็นอิสระจากสิ่งต่าง ๆ ในเชิงอภิปรัชญาที่ว่าด้วยธรรมชาติของความเป็นจริง (reality) ความไม่ยึดมั่นถือมั่นมีบทบาทในแง่ของการปล่อยวางหรือหลุดพ้นจากกรอบความคิดที่ยึดโยงกับการมีอยู่ของสิ่งต่าง ๆ (being) หรือแนวคิดเกี่ยวกับตัวตน (self) และโลก

ในปรัชญาตะวันออก เช่น พระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู ซึ่งมีแนวคิดการปล่อยวางตัวตน (Selfless) และการไม่ยึดติดกับโลกแห่งปรากฏการณ์ (Phenomenal World) ที่ตนรับรู้ เป็นฐานของอุเบกขา (Upekkhā) เป็นแนวทางสำคัญของการบรรลุสภาวะสูงสุด เช่น นิพพาน (Nirvana) หลุดพ้นจากความทุกข์ (Dukkha) และวัฏสงสาร (Samsara) หรือบรรลุโมกษะ (Moksha) นั่นคือ มุ่งที่จะแยกตัวจากตัวตนและความเป็นจริงที่สัมผัสได้ เพราะโลกที่มนุษย์สัมผัสได้นั้นถือว่าเป็นสิ่งลวงตา (Maya) ความไม่ยึดมั่นถือมั่นจะช่วยให้หลุดพ้นจากการเข้าใจผิดเกี่ยวกับความจริงที่ลวงนี้  ทั้งนี้ การไม่ยึดติดกับตัวตนหรืออนัตตา (Anattā) หรืออนิจจาที่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง (Anicca) ช่วยให้เกิดสภาวะจิตที่เป็นอิสระและเป็นปัญญา (Prajñā)

ในปรัชญาตะวันตก ความไม่ยึดมั่นถือมั่นเกี่ยวข้องกับการปฏิเสธแนวคิดสารัตถะนิยม (Essentialism) ซึ่งเชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ มีแก่นแท้ดั้งเดิม (essence) ที่ไม่เปลี่ยนแปลง มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger 1889-1976) วิพากษ์แนวคิดนี้โดยสนับสนุนการทำความเข้าใจการดำรงอยู่ (dasein) ในลักษณะที่เปิดกว้างและไม่ยึดติดกับความหมายแบบตายตัว นั่นคือ เข้าใจโลกในฐานะที่เราดำรงอยู่ในโลก (being in the world)

แนวคิดของสปิโนซา (Baruch Spinoza 1632-1677) มองว่าธรรมชาติและพระเจ้า (Nature and God) เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้น การไม่ยึดมั่นถือมั่นคือ การปล่อยวางจากความแบ่งแยกระหว่างความเป้นคู่ตรงข้ามที่ได้ปรากฎในปรัชญาโบราณ เช่น ร่างกาย-จิตใจ (Mind-Body), วัตถุ-อัตนัย (Object-Subject) ซึ่งจะช่วยให้เรามองเห็นธรรมชาติของความเป็นจริงในลักษณะที่รวมเป็นหนึ่ง

ความไม่ยึดมั่นถือมั่นในเชิงญาณปรัชญาซึ่งว่าด้วยธรรมชาติและขอบเขตของความรู้ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นเกี่ยวข้องกับวิธีที่มนุษย์สามารถเข้าถึงความรู้โดยการหลุดพ้นจากอคติหรือข้อจำกัดของมุมมอง เช่น แนวคิดความเป็นกลางทางปัญญา (Intellectual Neutrality)  ได้เสนอว่า เราจำเป็นต้องมีความเป็นกลาง ไม่ติดในอคติ (Bias) และสมมติฐานล่วงหน้า (Presuppositions) เพื่อให้สามารถแสวงหาความจริงได้อย่างแท้จิรง เรเน เดการ์ต (René Descartes 1956-1650) เสนอให้ใช้วิธีการสงสัยสากล (Universal Doubt) ซึ่งเป็นการแยกตัวจากความเชื่อเดิมเพื่อเข้าถึงความจริงพื้นฐาน ปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ของเอ็ดมันด์ ฮุซเซิร์ล (Edmund Husserl 1859-1938) มุ่งเน้นการแยกตน (Epoche) หรือการใส่วงเล็บ (Bracketing) เพื่อพักความเชื่อเดิมไว้ก่อน และเราจะได้ใช้เข้าถึงแก่นแท้ของปรากฏการณ์ (สิ่งที่เกิดขึ้นในการรับรู้ของเรา) โดยปราศจากอคติ การทำเช่นนี้ต้องอาศัยความไม่ยึดมั่นถือมั่น พื่อไม่ยึดติดกับการแบ่งแยกระหว่างการเป็นผู้สังเกตการณ์ (Subject) และสิ่งที่ถูกสังเกต (Object) นั่นคือ การปฏิเสธความเป็นคู่ของ Subject-Object Dichotomy)

ในสังคมสมัยใหม่เชื่อว่ามีการประกอบสร้างความรู้ตามแนวคิดสรรสร้างนิยม (Constructivism) ซึ่งปรัชญาหลังนวยุคต้องการคัดค้าน ความไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้จึงช่วยให้มนุษย์พิจารณาความรู้ในแง่ที่หลุดพ้นจากกรอบสร้างทางสังคม (Social Constructs) หรือโครงสร้างภาษา (Linguistic Structures) มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault 1926-1984) ใช้แนวคิดความไม่ยึดมั่นถือมั่นเพื่อท้าทายและรื้อโครงสร้างความรู้ที่ถูกครอบงำโดยอำนาจ (Power-Knowledge) ทั้งนี้ ญาณปรัชญาหลังนวยุค Postmodern epistemology) ส่งเสริมความไม่ยึดมั่นถือมั่นในรูปของการยอมรับความไม่แน่นอน (Uncertainty) และการปฏิเสธความรู้แบบสัมบูรณ์ (Absolute Knowledge) ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของความเป็นจริงได้อย่างเป็นกลางและชัดเจนมากขึ้น

ความไม่ยึดมั่นถือมั่นยังปรากฎเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งในหลักจริยศาสตร์อีกด้วย เช่น ลัทธิสโตอิก (Stoicism) สนับสนุนการฝึกจิตให้ไม่ยึดติดกับอารมณ์หรือสิ่งภายนอก (Apatheia) โดยถือว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ในคุณธรรม (Virtue) และการใช้เหตุผล (Logos) ซึ่งสโตอิคเน้นให้เรารยอมรับในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งเท่ากับเป็นการปลดปล่อยตนเองจากความทุกข์ ในศาสนาฮินดู ปรากฎในภควัตคีตาถึงแนวคิดเรื่อง การกระทำโดยไม่ยึดติดกับผล (Nishkama Karma) เพื่อเข้าถึงโมกษะ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นมีบทบาทสำคัญในโยคะและการทำสมาธิเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณ พระพุทธศาสนานิกายเซน (Zen Buddhism) มองว่า การปล่อยวางจากความคิดและการแบ่งแยกนั้นเป็นไปเพื่อเข้าถึงสภาวะธรรมชาติของจิต (Original Mind) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการฝึกสมาธิ (Zazen) โดยมุ่งเน้นการเป็นอิสระจากการตัดสินและการยึดมั่นในความคิด

ในศาสนาคริสต์มีแนวทางการฝึกตนตามลัทธิลี้ลับ (Mysticism) เพื่อให้เกิดความว่างภายใน (Interior detachment) และนำไปสู่การวางใจในพระเจ้า (Divine Surrender) ซึ่ง ไมเซอร เอกคาร์ท (Meister Eckhart 1260-1328) สนับสนุนการฝึกการปล่อยวางตัวตนเพื่อเข้าถึงพระเจ้า

ในปรัชญาหลังนวยุค เน้นแนวคิดความไม่ยึดมั่นถือมั่นในหลายแง่มุม โดยเฉพาะในแนวคิดที่ท้าทายการยึดติดกับความจริงหรือคุณค่าที่เป็นสากล เช่น การวิพากษ์ความจริงแบบสัมบูรณ์ (Critique of Absolute Truths) โดยปฏิเสธเรื่องเล่าที่ครอบงำความคิดมนุษย์ (Meta-narratives) ผ่านการเรียกร้องการปล่อยวางจากการยึดติดใน กรอบความคิด บรรทัดฐานหรือวัฒนธรรมของสังคมเดิม ๆ ฌอง ฟรองซัว เลียวตาร์ด (Jean-François Lyotard 1924-1998) สนับสนุนให้มีการยอมรับความหลากหลายของมุมมองและการหลุดพ้นจากกรอบเดิม

ฌาก แดร์ริดา (Jacques Derrida 1930-2004) เสนอแนวคิดการรื้อถอน (Deconstruction) เพื่อให้เกิดการแยกส่วนเพื่อจะได้เข้าใจความหมายของคำ ชุดคำ วาทกรรม โดยความไม่ยึดมั่นถือมั่นจะทำให้เราไม่ยึดติดกับความหมายที่ตายตัวของภาษาและข้อความ ฌอง โบดริยาร์ด (Jean Baudrillard 1929-2007) มองว่า โลกทุกวันนี้เป็นความเป็นเกินจริง (Hyperreality) เราจึงต้องเชื่อมโยงกับการแยกตัวออกจากความเป็นจริงแบบเดิม ปล่อยวางความยึดมั่นในความจริง ดั้งเดิมและยอมรับโลกที่ซับซ้อน นอกจากนี้ ปรัชญาหลังนวยุคยังท้าทายแนวคิดเรื่องตัวตน (Self) และอัตลักษณ์ที่คงที่ (Identity) โดยชี้นำให้เกิดการปล่อยวางจากตัวตนและการระบุความหมายแบบเดิม เปิดทางให้เราได้มีการสร้างสรรค์ใหม่ของความหมายในสิ่งต่าง ๆ  (Reconstruction of Meaning) โดยไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบเดิม ทำให้เกิดพื้นที่สำหรับการสำรวจความหลากหลายทางความคิด

บทสรุป

ความไม่ยึดมั่นถือมั่น สนับสนุนการแสวงหาความเข้าใจที่ลึกซึ้งและเป็นอิสระจากข้อจำกัดทางความคิด ความเชื่อ และอคติ เปิดทางให้มนุษย์สามารถสำรวจความเป็นจริงและความรู้ในรูปแบบที่ยืดหยุ่น ไม่ตายตัว และไร้กรอบความคิดเดิม ในปรัชญาศาสนาและจริยศาสตร์เน้นการปล่อยวางเพื่อความอิสระทางจิตวิญญาณ ในขณะที่ปรัชญาหลังนวยุคนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ในบริบททางสังคมและวัฒนธรรม โดยมุ่งเน้นการท้าทายกรอบคิดเดิม การไม่ยึดติดกับความจริงสัมบูรณ์ และการยอมรับความหลากหลายของความหมายและตัวตน


Leave a comment