ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
โลกปรัชญาหลังนวยุค (postmodernism) มักตั้งคำถามกับทวิลักษณ์ (Dualisms) และความจริงสัมบูรณ์ (absolute truth) แนวคิดดั้งเดิมในเทววิทยาตะวันตก เช่น St.Augustine (354-430) หรือ Rene Descartes (1596-1650) มักแยก soul ออกจาก body อย่างเด็ดขาด โดยมองว่า soul เป็นสารัตถะนิรันดร์ และเข้าใจ spirit ว่าเป็นองค์ประกอบของพระเจ้า (ลมหายใจของพระเจ้า) เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มาเยือนจากภายนอก
แนวคิดสายกลางได้มีบทบาทในความพยายามเสนอความเข้าใจในแบบองค์รวมโดยเฉพาะความเข้าใจมนุษย์ David Nikkel ศาสตราจารย์เกียรติคุณในสาขาศาสนาแห่งมหาวิทยาลัย North Carolina at Pembroke นิกเกลเป็นนักปรัชญาและนักเทววิทยาชาวอเมริกัน ได้เสนอแนวคิดหลังนวยุคสายกลาง (moderate postmodernism) ในบริบทของความเชื่อทางศาสนาและจิตวิญญาณ (spirituality) โดยชี้ให้เห็นว่าการเข้าใจมนุษย์ต้องพ้นจากกรอบทวิลักษณ์เดิม และต้องเปิดรับการตีความใหม่ที่เห็นว่า spirit และ soul มิได้เป็นสิ่งเหนือกายหรือเหนือโลก นิกเกลเน้นว่า แม้เราจะไม่สามารถมีความรู้สัมบูรณ์ (absolute knowledge) ได้อย่างที่ปรัชญานวยุค (modern philosophy) มุ่งหวัง แต่ก็ยังสามารถมีความรู้บางระดับ ที่มีความหมายและคุณค่าได้ ผ่านประสบการณ์ การปฏิบัติ และความสัมพันธ์ นิกเกลได้เชื่อมโยงมิติของร่างกาย ปัจเจก และชุมชนให้กลายเป็นองค์รวมเพื่อทำความเข้าใจในมนุษย์ผ่านโครงสร้างของความสัมพันธ์และความลึกซึ้งที่เราดำรงอยู่ภายใต้ชุมชน สังคม และวัฒนธรรม
แนวคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลางของนิกเกล
- ปฏิเสธความเป็นกลางแบบสัมบูรณ์ (denial of epistemological neutrality) นิกเกลเห็นว่าไม่มีจุดยืนทางความรู้ที่เป็นกลางอย่างแท้จริง ทุกความรู้มีรากฐานจากบริบท วัฒนธรรม ภาษา และประสบการณ์ของผู้รู้ แต่นิกเกลไม่ได้คิดไปสุดโต่งเหมือนอย่าง radical postmodernists ที่บอกว่า “ไม่มีความจริงใด ๆ” นิกเกลยืนยันว่า เราสามารถเข้าถึงความจริงบางอย่างได้ผ่านความสัมพันธ์และการตีความร่วมกัน
- ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ทางกาย (embodied experience) โดยถือว่าเป็นรากฐานของความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องจิตวิญญาณ (spirit) ซึ่งไม่ใช่เพียงความคิดลอย ๆ แต่คือ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันของบุคคล
- จิตวิญญาณ (Spirit) มีได้ในแนวหลังนวยุคสายกลาง นิกเกลมองว่า จิตวิญญาณไม่ใช่อะไรที่อยู่นอกโลก แต่คือพลังแห่งการสัมพันธ์กัน (relational power) ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับธรรมชาติ มนุษย์กับพระเจ้า หรือกับสิ่งสูงสุดตามแต่ละศรัทธาในศาสนานั้น ๆ นิกเกลมองว่า ความรู้ด้านจิตวิญญาณ (spiritual knowledge) เกิดจาก การมีส่วนร่วม (participation) ไม่ใช่การสังเกตจากภายนอก (observation)
- ศรัทธาและเหตุผลสามารถร่วมมือกันได้ นิกเกลมองว่า แทนที่จะแยกเหตุผล (reason) ออกจากศรัทธา (faith) ทั้งสองมิตินี้สามารถเสริมกันได้ภายใต้กรอบหลังนวยุค (postmodern) ที่ไม่ตัดสินกันด้วยเกณฑ์แบบเดียว แต่เข้าใจจากความสัมพันธ์และบริบท
Spirit ใน moderate postmodernism ของเดวิด นิกเกล ไม่ใช่จิตวิญญาณแบบลอยตัวหรือเหนือโลก แต่คือ ประสบการณ์ของความเชื่อ ความสัมพันธ์ และความหมาย ที่ฝังอยู่ในชีวิตจริงของมนุษย์ เป็นจิตวิญญาณที่เปิดกว้างต่อความหลากหลายของศรัทธา เป็นการเข้าใจโลกอย่างถ่อมตนว่าความจริงและความรู้ทางจิตวิญญาณ ต้องอาศัยการตีความ การฟังผู้อื่น และการอยู่ร่วมกัน
Spirituality is not some ghostly abstraction, but is found in the thick of lived experience.
– David Nikkel, Radical Embodiment: A Postmodern Return to Spirituality
| หัวข้อ | Spirit | Soul |
|---|---|---|
| ลักษณะทั่วไป | ความสัมพันธ์แบบเปิด เชื่อมต่อผู้อื่น | เอกลักษณ์เฉพาะของบุคคล |
| ภววิทยา (Ontology) | Spirit คือพลังแห่งความสัมพันธ์ที่ปรากฏในประสบการณ์ | Soul คือศูนย์กลางภายในของตัวตน (inner depth) |
| ญาณวิทยา (Epistemology) | เข้าถึงได้ผ่านการปฏิสัมพันธ์ ประสบการณ์ และการตีความร่วม | เข้าถึงได้ผ่านการไตร่ตรองตนเอง การสะท้อนภายใน |
| ความสัมพันธ์กับร่างกาย | Spirit เป็น embodied ไม่แยกจากร่างกาย | Soul ก็ embodied เช่นกัน แต่เป็นด้านลึกของบุคคล |
| แนวคิดเชิงศาสนาและจิตวิญญาณ | Spirit คือพลังงานแห่งพระเจ้า/สิ่งสูงสุด ที่ไหลผ่านความสัมพันธ์ | Soul คือความเป็นปัจเจกของมนุษย์ในกระบวนการ spiritual growth |
| แนวคิดเชิงสังคม | Spirit คือสิ่งที่เชื่อมเรากับผู้อื่นและชุมชน | Soul คือสิ่งที่ทำให้เรามีความลึก มีจริยธรรม มีการเติบโตส่วนตัว |
แนวคิดเทววิทยาของนิกเกล
- Spirit ≠ จิตวิญญาณลอย ๆ หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่ Spirit คือ ความสามารถของมนุษย์ในการเชื่อมโยงกับสิ่งอื่น จึงเป็นเรื่องของมิติของความสัมพันธ์และการเคลื่อนไหวเชิงการเชื่อมต่อ (relational and participatory reality) เป็นความจริงที่เราพบผ่านความสัมพันธ์ เป็นพลังสัมพันธ์ (relational energy) เป็นพลวัตของชีวิตมากกว่าสารัตถะที่คงที่
- Soul ≠ สิ่งต่างหากจากร่างกาย นิกเกลไม่ยอมรับแนวคิดแบบทวิภาวะ (dualism -แยกวิญญาณ/ร่างกาย) โดยเด็ดขาด และเสนอว่า soul คือ ความลึกของการมีตัวตนที่ฝังอยู่ (inner depth) ในชีวิตของร่างกายจริง ๆ เป็นมิติของตัวตนส่วนลึก ความทรงจำ การรับรู้ และความหมายที่สั่งสมจากประสบการณ์ของปัจเจกและชุมชน
- spirit และ soul คือ embodied ทั้งสองเป็นร่างทางจิตวิญญาณ (spiritually embodied) ไม่ใช่สิ่งแยกจากกายภาพ แต่หลอมรวมกัน
- Spirit มีมิติเชื่อมโยง (communion) เช่น การร่วมสวดภาวนา การภาวนาในชุมชน การแสดงออกทางศีลธรรมร่วมในรูปแบบต่าง ๆ เป็นพลังแห่งการดำรงอยู่ร่วมกับผู้อื่น
- Soul มีอยู่ในมิติลึกซึ้งของตัวตน เป็นพื้นที่ภายใน เช่น การไตร่ตรอง การเยียวยา ความเศร้า ความเจ็บปวด ความฝัน ความรัก คือมิติที่เราเผชิญตัวตนแท้จริงของเราเอง เป็นพื้นที่ที่เรารู้สึกถึงคุณค่าของการดำรงอยู่ เป็นศูนย์กลางของความเป็นมนุษย์เฉพาะตน (inner center)
Spirit is our openness to the other, while soul is our depth within.
| ประเด็น | แนวคิดของ David Nikkel | นักเทววิทยา/นักปรัชญาร่วมสมัย |
|---|---|---|
| ธรรมชาติของจิตวิญญาณ (Spirituality) | จิตวิญญาณเป็น “ความสัมพันธ์แบบฝังตัว” (embodied relationality) | เน้นจิตวิญญาณแบบ transcendent (เหนือโลก) หรือ mystical (ลี้ลับ) |
| ร่างกายกับจิตวิญญาณ | จิตวิญญาณต้อง “ฝังในร่างกาย” (radical embodiment) | แยกกันระหว่างกายกับวิญญาณ (dualism) |
| ความรู้ (epistemology) | ความรู้ทางจิตวิญญาณมาจาก การปฏิสัมพันธ์-มีส่วนร่วม ไม่ใช่จากการเปิดเผยจากเบื้องบนฝ่ายเดียว | นักเทววิทยาให้วิวรณ์ (revelation) หรือพระวจนะเป็นสารัตถะ (essence) |
| ภาษาของศรัทธา | ปฏิเสธภาษาแบบ dogmatic แต่เสนอ การตีความที่ฝังตัวในชุมชน (community-based interpretation) | บางสาย-ลัทธิ ยังเน้นกรอบคำสอนที่ตายตัวหรือแนวอภิปรัชญาแบบแน่นอนตายตัว |
| บทบาทของชุมชน | ชุมชนคือพื้นที่ของการสร้างจิตวิญญาณร่วม (shared spirituality) | นักคิดบางคนเน้นปัจเจกนิยม หรือการรู้แจ้งส่วนตน |
| แนวทางการตีความศรัทธา | ผสมผสาน postmodern hermeneutics เช่น Paul Ricoeur เข้ากับประสบการณ์ชีวิตจริง | บางกลุ่ม-ลัทธิ เน้นการตีความแบบศักดิ์สิทธิ์ (sacred hermeneutics) หรือแบบ rational theology |
Spirituality is not something separate from the world, but is how we live meaningfully and ethically within it, through our embodied relationships.
นิกเกลประมวลแนวคิดหลังนวยุคสายกลางเพื่อความร่วมสมัย หลีกเลี่ยงความสุดโต่ง โดยได้ประมวลแนวคิดจากสำนักคิดต่าง ๆ มาใช้ ได้แก่
| School of Thought | แนวคิด |
|---|---|
| Embodied Epistemology | ความรู้ไม่ใช่สิ่งลอย ๆ แต่ฝังในร่างกาย สังคม และการกระทำ (อิทธิพลความคิดของ Merleau-Ponty, Pragmatists) |
| Relational Ontology | การดำรงอยู่ไม่ใช่สิ่งเดี่ยว ๆ แต่เป็นผลจากความสัมพันธ์ (อิทธิพลความคิดของ Process Philosophy เช่น Whitehead’s relational reality) |
| Post-Liberal Theology | ใช้ภาษาและพิธีกรรมของชุมชนศรัทธาเพื่อสร้างความหมาย ไม่ใช่เพียงวาทกรรมของเหตุผล |
| Communitarian Hermeneutics | การตีความศรัทธาไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล แต่คือการอ่านและเข้าใจร่วมกันในบริบทชุมชน |
| Critical Realism | ยอมรับว่าแม้เราจะไม่รู้ความจริงโดยตรง แต่อาจเข้าถึงได้บางส่วนผ่านประสบการณ์สัมพันธ์ |
ฐานปรัชญาของแนวคิดของนิกเกลนั้นอาจสรุปได้ว่า ใช้กรอบคิดของ Moderate Postmodernism ที่ตั้งคำถามกับสัจนิยม แต่ไม่ปฏิเสธความจริงร่วมทั้งหมด Embodied Epistemology มองว่า การรู้ไม่ได้มาจากปัญญาลอยๆ แต่ผ่านประสบการณ์ที่ร่างกายรับรู้ Relational Ontology มองว่า การดำรงอยู่คือการเชื่อมโยง ไม่ใช่สิ่งคงตัว และ Postliberal Theology เป้นแนวคิดเทววิทยาที่ยึดชุมชน ความหมาย และวาทกรรม มากกว่าหลักคำสอนตายตัว การเข้าใจตนเองในฐานะมนุษย์ผ่านแนวคิดเหล่านี้คือ การเข้าใจว่า เราคือ การบรรจบกันของเนื้อหนัง ความหมาย และความสัมพันธ์ เรามีพื้นที่แห่งการรับรู้ภายในที่ก่อเกิดจากการมีชีวิตอยู่ในโลก และมีพลังของการเชื่อมต่อที่เราสัมผัสผ่านกาย วาทกรรม และความสัมพันธ์ภายใต้ชุมชน สังคม และวัฒนธรรม

