ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
บทคัดย่อ
บทความนี้เสนอแนวคิดในการจัดการเชิงสังคมผ่านกรอบคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง (Moderate Postmodern Philosophy) โดยเน้นการฟื้นฟูและประสานคุณค่าทางวัฒนธรรมไทยกับแนวคิดวิพากษ์ร่วมสมัย เพื่อเสริมสร้างความรับรู้คุณค่าในตนเอง (self-worth) และมุมมองที่สมดุลต่อตนเอง (balanced self-perception) ในคนรุ่นใหม่ ท่ามกลางแรงกดดันของระบบเศรษฐกิจ-การศึกษาแบบแข่งขันสูง ด้วยชี้ให้เห็นว่า “ตัวตน” ของคนรุ่นใหม่ควรถูกเข้าใจว่าเป็นพื้นที่แห่งการประกอบสร้าง (constructed space) ซึ่งต้องการทั้งการเคารพความแตกต่าง ความสัมพันธ์กับชุมชน และการปลดปล่อยจากโครงสร้างอำนาจแบบตายตัว
บทนำ
ในยุคที่สังคมไทยเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม คนรุ่นใหม่จำนวนมากประสบปัญหาความสับสนในตัวตน ขาดความมั่นคงทางอารมณ์ และรู้สึกด้อยคุณค่าในตนเอง การฟื้นคืนความหมายของ “ตัวตน” และ “คุณค่าในตน” จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญของการจัดการทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งต้องการกรอบคิดใหม่ที่สามารถยืนอยู่ระหว่างความเป็นไทยและความเป็นสากล
ปรัชญาหลังนวยุคสายกลางกับตัวตน
แนวคิดหลังนวยุคสายกลาง (moderate postmodernism) ไม่ปฏิเสธเหตุผลหรือความจริงทั้งหมด แต่ชี้ให้เห็นว่าความจริงหลากหลายถูกประกอบสร้างโดยบริบททางภาษา อำนาจ และวัฒนธรรม ตัวตน (self) มิใช่สิ่งที่ตายตัว หากเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นผ่านภาษา วาทกรรม อำนาจ และการกระทำในบริบทเฉพาะ ตัวตนจึงเป็นผลของ “พื้นที่แห่งการประกอบสร้าง” (constructed space) ซึ่งเปลี่ยนแปลงและต่อรองได้อยู่เสมอ ในทรรศนะเช่นนี้ ตัวตนจึงไม่ใช่สิ่งคงที่ หากเป็นสิ่งที่ “กำลังเป็นไป” (becoming) อยู่เสมอ
สำหรับสังคมไทย คนรุ่นใหม่ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มที่อยู่ภายใต้แรงกดดันของระบบทุน การศึกษา หรือวัฒนธรรมกระแสหลัก หากแต่เป็นผู้เล่นเชิงรุก (active agents) ที่สามารถแทรกแซง ต่อรอง และสร้างความหมายใหม่ให้กับพื้นที่ชีวิตของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน มหาวิทยาลัย สื่อออนไลน์ หรือแม้แต่พื้นที่ศาสนาและวัฒนธรรม
การเข้าใจตัวตนคนรุ่นใหม่ในทรรศนะนี้ หมายถึง การยอมรับว่าเขาไม่จำเป็นต้องเป็น “คนดีในแบบที่ระบบต้องการ” แต่สามารถสร้างความหมายใหม่ของ “ความดี” ที่สัมพันธ์กับบริบทชีวิตของตนเองได้ เช่น ความกล้าที่จะตั้งคำถามต่อระเบียบอำนาจ ความรับผิดชอบต่อสังคมผ่านวิถีชีวิตที่เรียบง่าย หรือการเลือกอาชีพตามความถนัดมากกว่าเงินเดือน
ปรัชญาไทยและมิติของการรับรู้คุณค่าในตนเอง
ในปรัชญาไทยดั้งเดิม แนวคิดเรื่อง “ขวัญ” และ “การรับขวัญ” แสดงให้เห็นความเข้าใจต่อความมั่นคงในตนเอง ไม่ใช่เพียงทางจิตวิทยา แต่เป็นเรื่องสังคมและจิตวิญญาณ ตัวตนมีพลวัต ต้องได้รับการ “เรียกคืน” และ “ดูแล” อยู่เสมอ ความรับรู้คุณค่าในตนเองในบริบทไทยจึงไม่แยกจากสายสัมพันธ์กับชุมชน และความรู้สึก “เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่า”
แนวคิดนี้สามารถประสานเข้ากับปรัชญาหลังนวยุคได้ โดยมองว่า ตัวตนเป็นพื้นที่ที่ประกอบสร้างจากวาทกรรมและพิธีกรรม เช่น การยอมรับตนเองผ่านการประกอบพิธี สื่อศิลปะพื้นถิ่น หรือการทำงานจิตอาสาที่สร้างการยอมรับจากชุมชน แทนการวัดค่าตนเองด้วยระบบสอบคัดกรองที่ผลิตผลแพ้-ชนะ
มุมมองที่สมดุลต่อตนเองกับการวิพากษ์ร่วมสมัย
มุมมองต่อตนเองอย่างสมดุล (balanced self-perception) มิได้หมายถึงการประเมินค่าตนเองในเชิงบวกตลอดเวลา หากแต่หมายถึง การสามารถมองเห็นตนเองอย่างรอบด้านทั้งศักยภาพและข้อจำกัด โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อุดมคติ หรือแรงกดดันที่ถูกสร้างโดยระบบอำนาจในสังคมร่วมสมัย
ในบริบทไทย คนรุ่นใหม่มักเผชิญกับการเปรียบเทียบตนเองกับภาพ “ผู้ประสบความสำเร็จ” ที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อ ดิจิทัลแพลตฟอร์ม และระบบการศึกษา ซึ่งผลักดันให้เกิดการวัดค่าตนเองด้วยเกณฑ์ภายนอก เช่น จำนวนผู้ติดตาม คะแนนสอบ หรือรายได้ ความไม่สามารถบรรลุเกณฑ์เหล่านี้นำไปสู่ภาวะการปฏิเสธตนเอง (self-rejection) และการบิดเบือนภาพตนเอง (self-distortion)
แนวคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลางเสนอให้ร่วมกันวิเคราะห์และวิพากษ์ (critical reflection) ต่อโครงสร้างเหล่านี้ โดยไม่ปฏิเสธการมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้ หากแต่ตั้งคำถามว่า “ใครเป็นผู้กำหนดเกณฑ์คุณค่าเหล่านี้” และ “เราสามารถนิยามตัวตนของตนเองในแบบอื่นได้หรือไม่”
การวิพากษ์ร่วมสมัย (contemporary critique) จึงมีบทบาทสำคัญในการทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจแบบกลืนกลาย (homogenizing power) แต่สามารถสร้างพื้นที่ใหม่ในการเข้าใจตนเองผ่านการสนทนา ความสัมพันธ์ และประสบการณ์ตรง ตัวอย่างของการวิพากษ์ที่นำไปสู่ balanced self-perception ได้แก่
- การตั้งคำถามต่อ “ความเก่งแบบระบบ” ด้วยการให้คุณค่าต่อภูมิปัญญาท้องถิ่นและประสบการณ์ชีวิต
- การมองเห็นความเปราะบางของตนเองไม่ใช่จุดอ่อน แต่เป็นโอกาสในการเข้าใจและเชื่อมโยงกับผู้อื่น
- การยอมรับความคลุมเครือของอัตลักษณ์ เช่น คนรุ่นใหม่ที่อยู่ระหว่างหลายบทบาท (ลูก/นักเรียน/นักกิจกรรม/คนทำงาน) โดยไม่ต้องเลือกเป็นเพียงอย่างเดียว
เมื่อรวมเข้ากับแนวคิดจากปรัชญาไทย เช่น ความพอดี การมีมุมมองต่อตนเองอย่างสมดุลจึงไม่ใช่เพียงการรู้จักตนเองในเชิงจิตวิทยา แต่เป็นกระบวนการวิพากษ์ตนเองและสังคมอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้าง “ตัวตนที่สัมพันธ์” (relational self) ซึ่งตระหนักถึงบทบาทของตนเองต่อชุมชน วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม
ข้อเสนอเชิงปรัชญาสังคม
1. การศึกษาแบบไม่ตัดสินตัวตน
การศึกษาออกแบบหลักสูตรที่ไม่จำกัดคุณค่าคนด้วยคะแนน (no grade system) เปิดพื้นที่ให้เยาวชนสร้างความหมายของชีวิตด้วยการปฏิบัติจริง เช่น การบูรณาการวิชาชีวิต วิชาสุขภาวะทางจิต และปรัชญาชุมชน
2. ห้องเรียนและการเรียนรู้แบบใหม่
คนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มวิพากษ์รูปแบบการศึกษาแบบอำนาจนิยม และสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ผ่านชุมชนการเรียนรู้ (learning communities) พื้นที่เสวนา หรือการเรียนรู้ผ่านโปรเจกต์ที่สัมพันธ์กับปัญหาสังคมจริง
3. การฟื้นฟูพิธีกรรมและวัฒนธรรมไทยที่ส่งเสริมการรับรู้ตัวตน
ประเพณีไทยหลายประเพณี ยังมีบทบาทสำหรับคนรุ่นใหม่ เช่น การบายศรี หรือการรับขวัญ การทำขวัญนาค ซึ่งสามารถฟื้นฟูให้เข้าถึงองค์ความรู้ คุณค่า และประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือสร้างความมั่นคงภายในตนเอง ไม่ใช่จัดขึ้นเพียงแค่เป็นพิธีการตามประเพณี โดยผ่านพลังแห่งการสร้างสรรค์และเน้นการยอมรับความหลากหลายทางจิตวิญญาณ
4. การสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางวาทกรรม
สังคมจะต้องยอมรับและส่งเสริมวงเสวนา/ศิลปะที่ไม่ตัดสินตนเองหรือผู้อื่นตามอุดมคติแบบตะวันตกหรือทุนนิยม เปิดพื้นที่ทางกายภาพและออนไลน์เพื่อให้มีการนำเสนอตัวตน หรือ เกิดการรับฟังเสียงของฉัน โซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่แสดงตัวตน แต่ยังเป็นเวทีแห่งการประกอบสร้างที่คนรุ่นใหม่ใช้ท้าทายขนบทางเพศ ศาสนา ชาติพันธุ์ และความสำเร็จ เช่น การเคลื่อนไหวเรื่อง LGBTQ+ หรือ anti-success culture ที่ไม่ผูกมูลค่าตัวเองกับความร่ำรวย
5. การจัดการสื่อเพื่อส่งเสริมการรับรู้คุณค่าในตนเอง
สังคมจะต้องมีแนวทางให้สื่อยุติการผลิตภาพลักษณ์ของคนดีแบบ “สำเร็จรูป” และหันมาใช้การเล่าเรื่องคนธรรมดาที่เปลี่ยนแปลงตนเองในแบบที่หลากหลาย คนรุ่นใหม่ที่กำลังสร้างตัวตนอยู่ผ่านการเลือกสื่อ การมีส่วนร่วมในชุมชนและการสร้างวาทกรรมใหม่ เขาย่อมเข้าใจตัวตนว่า ไม่ใช่การค้นหาความเป็นแก่นแท้ แต่คือการเคลื่อนไปในระนาบของการเปลี่ยนแปลงและการประกอบสร้างอย่างมีจริยธรรม
สรุป
การเสริมสร้างคุณค่าในตนเองของคนรุ่นใหม่ในสังคมไทยไม่สามารถทำได้ด้วยกรอบคิดแบบเดิมที่เน้นการแข่งขันหรือการสร้างตัวตนตามแบบพิมพ์นิยม แต่ต้องใช้แนวคิดหลังนวยุคสายกลางผสานกับทุนจากปรัชญาไทยเพื่อเปิดพื้นที่ให้การมีตัวตนของคนรุ่นใหม่เป็นไปในแบบที่แตกต่าง หลากหลาย คนรุ่นใหม่มีสิทธิ์ในการเขียนบทของตนเองโดยไม่ต้องถูกตีตราด้วยกรอบค่านิยมแบบเดียว และเขาแต่ละคนก็จะมีความหมายต่อชุมชนและประเทศชาติอย่างลึกซึ้ง

