ดร.อัครกาญจน์ วิชัยดิษฐ์

บทความนี้มุ่งสำรวจปรากฏการณ์ทางศาสนาและจิตวิญญาณผ่านกรอบแนวคิด “พลังงานนิยม (Energeticism)” และ “จิตวิญญาณศาสตร์ (Spiritual Science)” โดยถือว่ามนุษย์และจักรวาลเป็นสนามพลังงานที่มีความสัมพันธ์ทางจิต–พลังอย่างต่อเนื่อง การประกอบพิธีกรรมจึงมิใช่เพียงการแสดงศรัทธาเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นกระบวนการของการปรับคลื่นพลังงาน การปลดปล่อย และการยกระดับสภาวะจิต เพื่อให้เกิดความสอดคล้องระหว่าง “พลังชีวิตภายใน” กับ “พลังจักรวาล” พิธีกรรมเกิดขึ้นเพื่อเป็นกลไกของการฟื้นฟูพลังชีวิต (vital coherence) และการเปลี่ยนแปลงสภาวะของจิตสำนึก (conscious transformation) ซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาในทั้งตะวันออกและตะวันตก

พลังงานนิยมในฐานะปรัชญาแห่งชีวิต

แนวคิดพลังงานนิยม (Energeticism) เกิดขึ้นจากรากฐานของอภิปรัชญาในคริสต์ศตวรรษที่ 19–20 ซึ่งพิจารณาว่า ทุกสิ่งในจักรวาลประกอบด้วยพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงวัตถุหรือจิตอย่างใดอย่างหนึ่ง (Ostwald, 1908; Whitehead, 1929) แนวคิดนี้ต่อมาได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับศาสตร์ทางจิตวิญญาณสมัยใหม่ เช่น จิตวิทยาเชิงพลังชีวิตของ Reich (1942) และปรัชญาแห่งพลังของ Bergson (1911) ที่เสนอแนวคิด élan vital หรือ “แรงชีวิต”

ในโลกตะวันออก พลังงานนิยมสะท้อนอยู่ในคัมภีร์และแนวคำสอนมากมาย เช่น พลัง “ปราณะ (Prāṇa)” ในอินเดีย, “ชี่ (氣)” ในจีน และ “ลุง” หรือ “รลุง” ในทิเบต ซึ่งทั้งหมดล้วนมองว่า พลังชีวิตเป็นตัวเชื่อมระหว่างกาย จิต และธรรมชาติ (Govinda, 1960; Tenzin Wangyal, 1993)

ดังนั้น การวิเคราะห์เชิงพลังงานนิยมจึงมิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงฟิสิกส์ หากแต่เป็นปรัชญาแห่งการเข้าใจการสั่นสะเทือนของสรรพสิ่ง และความสัมพันธ์ของจิตสำนึกกับพลังงานจักรวาล

Energeticism เสนอว่าพลังงานมิใช่สิ่งที่อยู่ภายนอกจิต แต่เป็นรูปแบบหนึ่งของจิตเอง (mind–energy continuum) กระบวนการพลังงานที่สำคัญจึงมิใช่การเรียกพลังจากภายนอก แต่เป็นการเปิดให้จิตปรากฏในรูปพลังเดิมแท้ (Original Vibrancy)

ในพุทธปรัชญา สิ่งนี้เทียบได้กับแนวคิดปฏิจจสมุปบาท (Dependent Origination) ซึ่งถือว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นโดยอาศัยกันและกัน เมื่อจิตเปลี่ยน คลื่นพลังของโลกและสังคมย่อมเปลี่ยนตาม (Kalupahana, 1987)

กระบวนการพลังงาน (Energetic Process)

Energeticism ถือว่าทุกสิ่งในจักรวาลเป็นสนามพลังงานที่มีสำนึก (Conscious Field) มนุษย์จึงเป็นทั้งผู้รับรู้พลังงาน (receiver) และผู้ปรับจูนพลังงาน (tuner) กิจกรรมทางศาสนา เช่น การเดินแสวงบุญ การไหว้พระ การสวดภาวนา หรือการบูชาด้วยเครื่องหอม
เป็นการปรับคลื่นพลังชีวิต (vital resonance) ของตนให้สอดคล้องกับพลังงานระดับสูงของธรรมจักรหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กล่าวอีกแบบหนึ่ง ศาสนพิธีจึงเท่ากับการเรียงคลื่นพลังงานภายในให้เข้ากับจังหวะแห่งจักรวาล

การเดินแสวงบุญ (Pilgrimage)

การแสวงบุญในมุมพลังงานนิยม เป็นกระบวนการเคลื่อนคลื่นชีวิต ผ่านพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังสนามแม่เหล็กหรือพลังศักดิ์สิทธิ์เฉพาะ (sacred geomagnetism) การเดินทางจึงเป็นการฟื้นฟูจังหวะพลังงานของร่างกายและจิตใจให้เข้ากับพลังของโลก (earth resonance) และเปิดพื้นที่ให้เกิด “ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของเส้นทางชีวิต” (Turner & Turner, 1978)

การกราบไหว้บูชา (Prostration and Devotion)

การโน้มกายและกราบในศาสนาต่าง ๆ มีความหมายทางพลังงานคือ การถ่อมคลื่น หรือการปรับการไหลของพลังจากศีรษะ (ศูนย์อัตตา) มาสู่หัวใจ (ศูนย์ความรักและเมตตา) กระบวนการนี้สอดคล้องกับหลักอนัตตา (Anatta) ในพุทธปรัชญา ที่ลดทอนความเป็นตัวตน เพื่อเปิดรับพลังปัญญาอันบริสุทธิ์ (Rahula, 1974)

การสวดภาวนา (Chanting and Prayer)

เสียงในพลังงานนิยมถือเป็นคลื่นสั่นสะเทือนพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงสนามพลังของจิตได้โดยตรง (Sheldrake, 2012) การสวดภาวนาไม่ว่าจะในรูปแบบมนต์ หรือบทสวด คือ การสร้างความถี่สอดคล้อง (resonance) ระหว่างจิตกับความจริงสูงสุด หรือพลังแห่งธรรมะในวัชรยานที่เรียกว่า “พลังแห่งสัทธรรมที่ก้องสะท้อนอยู่ในสรรพสิ่ง” (Sanghaghosa – เสียงแห่งธรรมอันไพเราะ)

การบูชาด้วยเครื่องหอม (Offering of Incense)

การเผาเครื่องหอมเป็นการปลดปล่อยพลังธาตุไฟและลม ทำให้วัตถุหยาบเปลี่ยนเป็นพลังละเอียดที่แผ่สู่สิ่งรอบตัว ในเชิงสัญลักษณ์คือ การถวายกลิ่นแห่งจิต แด่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และในเชิงพลังงานคือ การปรับสนามพลังของสถานที่ให้มีความกลมกลืน (harmony of space) (Eliade, 1959)

กิจกรรมกระบวนการพลังงานผลทางจิตผลทางจิตวิญญาณ
การเดินแสวงบุญการเคลื่อนกายตามเส้นทางศักดิ์สิทธิ์ ทำให้สนามพลัง (biofield) ถูก “ไหลเวียน” และเชื่อมกับสนามพลังของสถานที่ (geomagnetic resonance)เกิดการปล่อยของเก่าทางอารมณ์ (emotional release) และการตื่นรู้ผ่านความเพียรตระหนักถึง “หนทาง” ในฐานะการเดินทางของจิตสู่ความว่าง
การไหว้พระการโน้มกาย กราบ และเปลี่ยนทิศทางของการไหลพลัง (from head to heart)ลดอัตตา เพิ่มความถ่อมตนเกิด “สมมาตรพลัง” ระหว่างมนุษย์กับพลังแห่งปัญญา (Buddha field)
การสวดภาวนาการสั่นสะเทือนของเสียง (mantra vibration) กระตุ้นศูนย์พลังงาน (chakric resonance)ทำให้ใจนิ่ง เกิดจังหวะหายใจและสมาธิจิตเข้าสู่ความสอดคล้องกับพลังสัจจะหรือพุทธภาวะ
การบูชาด้วยเครื่องหอมการเผาและปลดปล่อยพลังธาตุ (ไฟ–ลม) สื่อถึงการเปลี่ยนวัตถุสู่พลังละเอียดสร้างบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ปรับความถี่พลังสถานที่ และเป็นสัญลักษณ์ของการอุทิศ “กลิ่นแห่งจิต” แด่ความจริงอันสูง

ผลผลิตของการปฏิบัติ: พลัง ชีวิต และสำนึก

การปฏิบัติทางจิตวิญญาณในกรอบพลังงานนิยมสามารถอธิบายได้ว่าเป็นกระบวนการของการเรียงคลื่นพลังชีวิต (energy alignment) ซึ่งนำไปสู่ผลผลิต 3 ระดับคือ

  1. ผลทางกาย–พลัง (Somatic–Energetic) เกิดสมดุลชีวภาพของระบบพลังในร่างกาย ฟื้นฟูพลังชีวภาพ (vital energy coherence)
  2. ผลทางจิต (Psychological) มีการปลดปล่อยอารมณ์เก่า ความสงบ ความสมดุลของสมาธิ
  3. ผลทางจิตวิญญาณ (Spiritual) เกิดการตระหนักรู้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างตนกับจักรวาล หรือภาวะอนัตตาแห่งเอกภาพ (nondual awareness) ตามแนวคิดพุทธปรัชญา

ดังนั้น การเดินแสวงบุญหรือสวดภาวนาไม่ใช่เพียงพิธีศาสนา แต่เป็นการเคลื่อนย้ายพลังจักรวาลผ่านสำนึกของผู้ปฏิบัติ เป็นการร่วมสร้าง (co-creative act) ระหว่างมนุษย์กับธรรมะ หรือระหว่างจิตกับจักรวาลในความหมายสูงสุด เมื่อพิจารณาเชิงระบบคิด ผลลัพธ์เหล่านี้แสดงถึงการยกระดับความถี่จิต (frequency shift) จากระดับอัตตาสู่ระดับเมตตาและสติ (Tiller, 1997) ซึ่งเป็นภาวะที่มนุษย์สัมผัส ความเย็นแห่งธรรมในสนามพลังแห่งนิพพาน (Nirvanic Energy Field)

มิติการเปลี่ยนแปลงสัญญาณของการพัฒนา
จิตใจความผ่อนคลาย สงบ ไม่ดิ้นรนสังเกตว่าอารมณ์ขึ้นลงน้อยลง
พลังชีวิตคลื่นชีวภาพสม่ำเสมอ มีสมาธิชัดร่างกายอุ่นขึ้น หายใจลึกขึ้น
สังคมสัมพันธ์เกิดเมตตา และความเข้าใจผู้อื่นจากภายในลดการตัดสินคนอื่น
จิตวิญญาณรู้จัก “พลังแห่งความว่าง” และ “ความสัมพันธ์กับจักรวาล”รู้สึกว่าแม้เงียบก็เต็มเปี่ยมด้วยความหมาย

ในมุมมองของจิตวิญญาณศาสตร์และพลังงานนิยม พิธีกรรมต่าง ๆ คือการปรับคลื่นพลังชีวิตให้สอดคล้องกับจังหวะของจักรวาล ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงสำนึกอย่างลึกซึ้ง ทั้งหมดคือเส้นทางเดียวกันของการกลับคืนสู่ธรรมชาติแห่งจิตบริสุทธิ์ ซึ่งในเชิงปรัชญาเทียบได้กับความเป็นหนึ่งเดียวระหว่าง Being – Energy – Consciousness

บรรณานุกรม

  1. Bergson, H. (1911). Creative Evolution. London: Macmillan.
  2. Eliade, M. (1959). The Sacred and the Profane: The Nature of Religion. New York: Harcourt.
  3. Govinda, A. (1960). Foundations of Tibetan Mysticism. London: Rider & Co.
  4. Kalupahana, D. (1987). The Principles of Buddhist Psychology. Albany: SUNY Press.
  5. Ostwald, W. (1908). Energetische Grundlagen der Kulturwissenschaft. Leipzig: Kröner.
  6. Rahula, W. (1974). What the Buddha Taught. London: Gordon Fraser.
  7. Reich, W. (1942). The Function of the Orgasm. New York: Orgone Institute Press.
  8. Sheldrake, R. (2012). The Science Delusion. London: Hodder & Stoughton.
  9. Tenzin Wangyal Rinpoche. (1993). The Tibetan Yogas of Dream and Sleep. Snow Lion Publications.
  10. Tiller, W. A. (1997). Science and Human Transformation: Subtle Energies, Intentionality and Consciousness. Pavior.
  11. Turner, V., & Turner, E. (1978). Image and Pilgrimage in Christian Culture. Columbia University Press.
  12. Whitehead, A. N. (1929). Process and Reality. Macmillan.

Leave a comment