ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
ปรัชญาจิตวิทยาเป็นพื้นที่บูรณาการระหว่างญาณวิทยา (epistemology) ปรัชญาจิต (philosophy of mind) และจิตวิทยาเชิงประจักษ์ (empirical psychology) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการทำความเข้าใจธรรมชาติของจิต (nature of mind) การรับรู้ (perception) และตัวตน (self) ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานของประสบการณ์มนุษย์ แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับ self นับเป็นแกนกลางสำคัญของระบบคิดทั้งปรัชญาและจิตวิทยา ทั้งในมิติของการรับรู้ การกระทำ การสร้างคุณค่า และการอยู่ร่วมในโลกทางสังคม
จาก Cartesian Ego สู่ Post-Self
แนวคิดเกี่ยวกับ self มีรากฐานในงานของ Rene Descartes นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 17 ผู้เสนอ cogito ergo sum ( I think, therefor I am “ฉันคิด ฉันจึงมีอยู่”) ทำให้ ตัวตน ถูกนิยามในฐานะ thinking substance หรือแก่นแท้แห่งความคิด (res cogitans) แต่การตั้งหลักการเช่นนี้ก่อให้เกิดคำถามในเวลาต่อมาว่า ตัวตนมีอยู่โดยอิสระ (free) จากร่างกายหรือสังคมหรือไม่
นักปรัชญาหลังยุคเดส์การ์ต เช่น David Hume นักปรัชญาชาวสกอต์ในศตวรรษที่ 18 เสนอว่า self เป็นเพียงมวลของการรับรู้ (bundle of perceptions) ไม่มีแก่นสารแท้ที่คงอยู่ ส่วน Immanuel Kant นักปรัชญาชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 18 ก็เห็นว่า self เป็นเงื่อนไขแห่งประสบการณ์ (transcendental unity of apperception) ที่ทำให้การรู้สึกและการคิดมีโครงสร้างสอดคล้องกัน
ในยุคหลังสมัยใหม่ (postmodernism) self ถูกวิพากษ์อย่างหนักโดย Michel Foucault และ Jacques Lacan นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 20 และ Judith Butler นักปรัชญาชาวอเมริกันแห่งศตวรรษที่ 20-21 ว่าเป็นสิ่งที่ถูกสร้างทางวาทกรรมและอำนาจ (discursive construction) จาก “I think” ของเดส์การ์ต จึงกลายเป็น “I am spoken” นั่นคือ ตัวตนมิใช่ผู้สร้างภาษา แต่ถูกสร้างโดยภาษาและบริบททางสังคม
จาก self สู่ cosmic self
ในบริบทของปรัชญาจิตวิทยา แนวคิด self นั้นมีความหลากหลายและเชื่อมโยงกันเป็นระบบ และมีมิติที่เกี่ยวข้องแตกต่างกันไป
| แนวคิด | คำอธิบาย | นักคิดสำคัญ | มิติที่เกี่ยวข้อง |
|---|---|---|---|
| Self-awareness | การรู้ตัวตนในฐานะผู้รับรู้ การตระหนักรู้ว่าตนคือผู้คิดหรือผู้กระทำ | William James, Sartre | Epistemic / Phenomenological |
| Self-consciousness | การมีจิตตระหนักในสายตาผู้อื่น เป็น “object of awareness” | Hegel, Mead | Social / Existential |
| Self-knowledge | ความเข้าใจตนเองโดยใช้การสะท้อนทางจิต (introspection) หรือการวิเคราะห์ทางเหตุผล | Kant, Ryle | Epistemological |
| Self-concept | ภาพลักษณ์ที่บุคคลมีต่อตนเอง (ความคิด ความรู้สึก และการประเมินตน) | Rogers, Markus | Psychological / Identity |
| Self-esteem | การให้คุณค่าแก่ตนเองในเชิงอารมณ์และศีลธรรม | Maslow, Rosenberg | Affective / Moral |
| Self-regulation | ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรม อารมณ์ และแรงจูงใจของตน | Bandura, Baumeister | Cognitive / Behavioral |
| Self-efficacy | ความเชื่อในความสามารถของตนที่จะทำบางสิ่งสำเร็จ | Albert Bandura | Motivational / Behavioral |
| Self-identity | การรับรู้ถึงความต่อเนื่องของตนผ่านเวลาและบริบท | Erikson, Ricoeur | Narrative / Temporal |
| Self-determination | ความสามารถในการกำหนดการกระทำของตนเองโดยอิสระ | Deci & Ryan | Ethical / Motivational |
| Self-transcendence | การก้าวข้ามขอบเขตของตนไปสู่ความสัมพันธ์กับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เช่น สังคม ธรรมชาติ หรือสัจธรรม | Frankl, Maslow (later stage) | Spiritual / Existential |
มิติของ self ตามแนวคิดปรัชญาจิต
มิติปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Social Dimension)
แนวคิดของ George H. Mead และ Hegel ชี้ว่า self เกิดจากกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง “I” (ตัวตนเชิงประสบการณ์) และ “Me” (ภาพสะท้อนจากผู้อื่น) ดังนั้น การมี self-consciousness จึงเป็นผลผลิตของสังคม
มิติญาณวิทยา (Epistemic Dimension)
Self-awareness และ self-knowledge ทำให้เกิดคำถามว่า มนุษย์รู้จักตนเองได้อย่างไร และการรู้จักนั้นมีความเที่ยงตรงหรือไม่ ปัญหาของแนวคิดนี้คือ การเข้าถึงภายใน (introspection problem) ที่นักปรัชญาอย่าง Gilbert Ryle และ Daniel Dennett ชี้ว่าการรู้ตัวเองอาจเป็นกระบวนการตีความ ไม่ใช่การรับรู้ตรง
มิติจริยศาสตร์ (Moral Dimension)
การมี self-regulation และ self-determination เป็นรากฐานของความเป็นตัวตนที่มีความรับผิดชอบทางศีลธรรม (moral agent) ปรัชญาอัตถิภาวนิยม (existentialism) เช่นของ Jean-Paul Sartre ยืนยันว่าการตระหนักรู้ตนคือ การเลือกและรับผิดชอบต่อการดำรงอยู่ของตนเอง
มิติอัตถิภาวะและจิตวิญญาณ (Existential-Spiritual Dimension)
แนวคิด self-transcendence เปิดพื้นที่ให้เชื่อมโยงปรัชญาจิตวิทยากับจิตตปัญญา (contemplative psychology) และจิตวิทยาทรานส์เพอร์โซนัล (Transpersonal psychology) ซึ่งเน้นการก้าวพ้นอัตตา (ego) สู่ภาวะสำนึกที่กว้างกว่า แนวคิดนี้สัมพันธ์กับพุทธปรัชญาเรื่องอนัตตาที่มองว่า self เป็นกระบวนการเกิดดับ มิใช่แก่นสารถาวร
โครงสร้างเชิงมิติของจิตอาจมองได้ดังตาราง
| มิติ | คำอธิบาย | คำหลักที่เกี่ยวข้อง |
|---|---|---|
| Being | การมีอยู่และการตระหนักรู้ว่ามีอยู่ | self-awareness, self-consciousness |
| Knowing | การเข้าใจตนเองในเชิงญาณวิทยา | self-knowledge, self-concept |
| Feeling | การประเมินคุณค่าและอารมณ์ต่อ self | self-esteem, self-love |
| Acting | การกำกับและสร้างพฤติกรรมของตน | self-regulation, self-motivation |
| Transcending | การก้าวข้ามขอบเขตของอัตตา | self-transcendence, self-realization |
ตัวตนในมุมมองนี้เป็นกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่และแปรเปลี่ยนไปในห้วงเวลา (processual being) การเข้าใจ Self จึงต้องมองแบบองค์รวม ไม่ใช่เพียงเชิงโครงสร้างของจิต (mind structure) แต่รวมถึงการรับรู้ (awareness) การกระทำ (agency) และการก้าวข้าม (transcendence)
1. Being หมายถึง ภาวะของการมีอยู่ (existence) การพูดถึง self ในฐานะผู้มีอยู่ (the being who is aware) เป็นจุดเริ่มของจิตสำนึก (consciousness) ในปรัชญา Heidegger ใช้คำว่า Dasein เพื่ออธิบายมนุษย์ในฐานะผู้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของตนในโลก (being-in-the-world)
ในจิตวิทยา มิติ Being จะเชื่อมโยงกับแนวคิด self-awareness และ self-consciousness ซึ่งต่างมีระดับความละเอียดต่างกัน นั่นคือ
1) Self-awareness คือ การรู้ว่าตนคือผู้รับรู้ (subject of experience) เช่น เมื่อเรารู้ว่ากำลังโกรธ เรากำลังตระหนักรู้ว่ากำลังโกรธมิใช่เพียงโกรธ
2) Self-consciousness คือ การรู้ว่าตนถูกมองโดยผู้อื่น หรือการมองตนในฐานะวัตถุของการรับรู้ เป็นจิตที่สะท้อนตนเองภายใต้สายตาของโลก
ดังนั้น การมีอยู่ (Being) ในเชิง self มิได้แปลว่า ฉันมีอยู่อย่างสถิตนิ่ง แต่หมายถึง ฉันกำลังมีอยู่ในความสัมพันธ์กับการรู้และถูกมองเห็น
ในปรัชญาจิตสมัยใหม่ การมี Being ยังสัมพันธ์กับคำถามเชิงจิตตปัญญา เช่น ใครคือผู้รู้ว่าตนรู้ (who is aware of awareness?) ซึ่งเปิดทางสู่การสำรวจจิตรู้บริสุทธิ์ (pure awareness) ที่เหนือกว่าอัตตา (ego) เป็นมิติเริ่มต้นของการก้าวสู่ Transcending
2. Knowing หมายถึง กระบวนการที่ self ทำความเข้าใจตนเองและโลก การรู้จักตน (self-knowledge) เป็นฐานของเหตุผลและคุณธรรมในสายคิดของ Socrates (Know thyself)
ในจิตวิทยา มิตินี้ครอบคลุมแนวคิด self-concept และ self-knowledge ซึ่งรวมถึงความคิด ความเข้าใจ และแบบจำลองภายใน (schema) ที่บุคคลมีต่อตนเอง
Immanuel Kant อธิบายว่า self เป็นหน่วยแห่งการรู้สึกทั้งหมด (transcendental unity of apperception) ซึ่งทำให้ประสบการณ์ของเรามีความต่อเนื่องและมีเอกภาพ ส่วน William James แยก “I” (ผู้รู้) ออกจาก “Me” (สิ่งที่ถูกรู้) โดย “I” เป็นกระบวนการรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง ในขณะที่ “Me” คือภาพสะท้อนของตัวตนในความคิด
ในมิติของการรับรู้ตนเอง การรู้ (Knowing) มีสามระดับที่สัมพันธ์กับการพัฒนา self ได้แก่
1) Cognitive Knowing การรู้เชิงเหตุผล เช่น ฉันรู้ว่าฉันมีความสามารถทางดนตรี
2) Reflective Knowing การรู้ผ่านการไตร่ตรอง เช่น ฉันรู้ว่าฉันไม่มั่นใจในที่สาธารณะ
3) Metacognitive Knowing การรู้ว่ากำลังรู้ (knowing about knowing) ซึ่งเป็นระดับของ self-awareness ขั้นสูง
ดังนั้น มิติ Knowing เป็นฐานของการสร้างอัตลักษณ์ทางจิตวิทยา (psychological identity) ที่ทำให้เราสามารถเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของตนเองผ่านกาลเวลา และมีส่วนสำคัญในการกำหนดความต่อเนื่องของบุคลิกภาพ (continuity of personality)
3. Feeling คือ มิติอารมณ์และคุณค่าที่ self มีต่อตนเอง ซึ่งรวมถึงความรักตนเอง (self-love), การยอมรับตนเอง (self-acceptance), และการให้คุณค่าตนเอง (self-esteem)
ในปรัชญา Feeling คือ มิติที่แสดงให้เห็นว่าตัวตนมิใช่เพียง “ผู้รู้” แต่เป็น “ผู้รู้สึก” (feeling subject) David Hume กล่าวว่า เหตุผลเป็นทาสของอารมณ์ (Reason is, and ought only to be, the slave of the passions) เพื่อชี้ให้เห็นว่า การรับรู้ตนเองต้องผ่านการประเมินคุณค่าในทางอารมณ์ด้วย
ในจิตวิทยามนุษยนิยม (Humanistic Psychology) เช่น Carl Rogers และ Abraham Maslow การมี self-esteem ที่มั่นคงถือเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการเติบโต (self-actualization) Rogers เสนอว่า เมื่อตัวตนในอุดมคติ (ideal self) กับตัวตนจริง (real self) สอดคล้องกัน จะเกิดภาวะ congruence ซึ่งนำไปสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริง (authenticity)
ในปรัชญาจิตวิทยา Feeling ยังสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างอัตตากับสังคม เพราะการประเมินคุณค่าตนเองจำนวนมากถูกสร้างผ่านสายตาของผู้อื่น เมื่อเราตระหนักว่าผู้อื่นยอมรับหรือปฏิเสธเรา นั่นคือกระบวนการ self-consciousness ในระดับอารมณ์
ดังนั้น Feeling เป็นมิติที่ทำให้ self กลายเป็นมนุษย์ผู้เปราะบาง มีความกลัว การยึดมั่น และแรงบันดาลใจ ความรู้สึกทั้งหมดนี้คือพลังขับเคลื่อนของจิตที่ทำให้ self แสวงหาความหมายในตนเอง
4. Acting คือ มิติของการลงมือและการกำหนดการกระทำด้วยความตั้งใจ (intentional action) ในปรัชญาจิต agency หรือภาวะการเป็นผู้กระทำ เป็นจุดที่เชื่อมระหว่างจิตกับโลก
Self-regulation และ self-determination เป็นแนวคิดหลักในมิตินี้ โดย
1) Self-regulation คือ ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว
2) Self-determination คือ การกำหนดชีวิตด้วยอิสระ โดยมีแรงจูงใจภายใน (intrinsic motivation) มากกว่าแรงผลักดันภายนอก
ตามทฤษฎีของ Deci และ Ryan (Self-Determination Theory) การกระทำที่แท้จริงของมนุษย์ต้องตั้งอยู่บนความรู้สึกว่าตนเลือกเอง มิใช่ถูกบังคับ ซึ่งก็คือ ฐานของความเป็นอิสระทางศีลธรรม (moral autonomy) ซึ่ง Kant ถือว่าเป็นหัวใจของคุณธรรม
มิติ Acting ยังสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่าง self กับการเปลี่ยนแปลง การควบคุมตนเอง (self-control) การสร้างแรงบันดาลใจ (self-motivation) และการตัดสินใจ (self-guidance) ล้วนเป็นเครื่องมือของจิตในการจัดระเบียบพลังชีวิตให้สอดคล้องกับค่านิยมของตน Acting จึงเป็นมุมมองที่มุ่งแปลงการรู้และการรู้สึกให้กลายเป็นการดำเนินชีวิต เป็นการทำให้ความเข้าใจในตนเองกลายเป็นการเป็นตนเองอย่างแท้จริง
5. Transcending เป็นจุดสูงสุดของการพัฒนา self เป็นการก้าวข้ามขอบเขตของอัตตา (ego boundaries) ไปสู่ความสัมพันธ์กับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เช่น มนุษยชาติ ธรรมชาติ หรือสัจธรรม
ในจิตวิทยา Viktor Frankl มองว่าการมีชีวิตที่มีความหมาย (meaning) เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์สามารถออกจากตัวตนเพื่อไปรับใช้สิ่งอื่น (self-transcendence) ส่วนแนวคิดของ Maslow ในช่วงปลายชีวิต ก็เสนอ ขั้นสูงสุดของลำดับความต้องการ (Meta-needs) ว่าเป็น self-transcendence แทนที่จะหยุดที่ self-actualization
ในปรัชญา Transcending หมายถึง การก้าวพ้นภาวะ subject-object dualism หลุดจากกรอบ “ฉัน” และ “โลกภายนอก” แนวคิดนี้สอดคล้องกับจิตวิทยาจิตตปัญญา (contemplative psychology) และปรัชญาพุทธที่ว่า อนัตตาคือ การเห็นว่าความเป็นตัวตนเป็นเพียงกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย มิใช่สิ่งคงที่
การมีภาวะ self-transcendence จึงไม่ใช่การละทิ้งตัวตน แต่เป็นการขยายขอบเขตของการเป็น (expanding the boundaries of being) จนตระหนักถึงความเชื่อมโยงของทุกสรรพสิ่ง เป็น self ที่เปิดกว้าง (open self) ไม่ใช่ self ที่ยึดมั่น
สรุป
ในปรัชญาจิตวิทยา self มิใช่เพียงคำที่ใช้เรียกตัวบุคคลในฐานะสิ่งกายภาพ แต่คือโครงสร้างแห่งการดำรงอยู่ที่เชื่อมโยงระหว่างการรู้ (cognition) การรู้สึก (affect) และการกระทำ (conation) การพัฒนา Self ไม่ได้เกิดขึ้นแบบเส้นตรง แต่เป็นการหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจ self อย่างลึกซึ้งจึงเป็นการเข้าใจทั้งธรรมชาติของจิตและโลกที่จิตสัมพันธ์ด้วย นั่นคือ การมองจิตในฐานะสิ่งที่มีชีวิต มีประวัติ และมีเป้าหมาย ไม่ใช่กลไกที่ทำงานแบบเครื่องจักร แต่เป็นกระบวนการที่รู้และสร้างความหมายของตนเองอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น ปรัชญาแห่ง self จึงวางอยู่บนการสำรวจขอบเขตของความเป็นมนุษย์ ตั้งแต่ การตระหนักรู้ว่าฉันมีอยู่ จนถึงการก้าวข้ามฉัน ไปสู่การอยู่ร่วมกับสิ่งอื่น นั่นคือ จาก self-awareness สู่ self-transcendence การเข้าใจตนเองจึงมิใช่จุดสิ้นสุดของการคิด แต่คือการเริ่มต้นของการดำรงอยู่ที่มีสติ มีความหมาย และมีความเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่
บรรณานุกรม
Bandura, A. (1997). Self-efficacy: The Exercise of Control. New York: Freeman.
Deci, E. L., & Ryan, R. M. (2000). The “What” and “Why” of Goal Pursuits: Human Needs and the Self-Determination of Behavior. Psychological Inquiry.
Hume, D. (1739). A Treatise of Human Nature.
James, W. (1890). The Principles of Psychology.
Kant, I. (1781). Critique of Pure Reason.
Mead, G. H. (1934). Mind, Self, and Society.
Sartre, J.-P. (1943). Being and Nothingness.
Frankl, V. (1959). Man’s Search for Meaning.
Foucault, M. (1982). The Subject and Power.
Ricoeur, P. (1992). Oneself as Another.

