ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต
เมื่อภัยธรรมชาติรุนแรงเกิดขึ้น เช่น พายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟป่า ความเป็นจริงอันซ่อนเร้นในจิตมนุษย์ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดที่สุด ปรากฏการณ์ทั้งคนดีช่วยคนอื่น ผู้เสียสละ ผู้เฉยเมย ผู้ทำร้ายผู้อื่น ผู้ก่ออาชญากรรม ผู้ตำหนิและโวยวาย หรือผู้ตกเป็นเหยื่อ ทั้งหมดล้วนเป็นภาพสะท้อนของธรรมชาติภายในมนุษย์
การอธิบายความหลากหลายของปฏิกิริยาแห่งผู้คนเหล่านี้สามารถดำเนินผ่านการวิเคราะห์จากหลากหลายแนวคิดทางปรัชญา ในที่นี้จะมองในมุมแห่งปรัชญาจิต ซึ่งในบทความนี้จะได้มองใน 3 มุมมองที่สัมพันธ์กัน ได้แก่
- ปรัชญาจิต (Philosophy of Mind) จิตในฐานะระบบประมวลผลภายในของมนุษย์
- ปรัชญาจิตวิญญาณ (Philosophy of Spirit) จิตวิญญาณในฐานะพลังเคลื่อนมนุษย์สู่ความหมายและคุณค่า
- สำนักอีเลีย (Eleatic School) ปรัชญาโบราณตามแนวคิดของปาร์เมนิเดสแห่งอีเลีย ผู้เสนอว่าความจริงแท้เป็นเอกภาพนิรันดร์ (The One) และการรับรู้อันปรากฏเป็นเพียงมายา
ด้วยการนำสามแนวทางนี้มาส่องเข้าหากัน เราจะเห็นความจริงลึกซึ้งเกี่ยวกับเหตุใดมนุษย์จึงตอบสนองต่างกันในยามภัยพิบัติ
ปรัชญาจิต
ปรัชญาจิตสนใจว่า กระบวนการภายในจิตผลิตความคิด อารมณ์ และเจตจำนงอย่างไร เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ระบบประสาทถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง เช่น ภัยพิบัติ ความแตกต่างของการตอบสนองคนจึงสัมพันธ์กับกลไก การทำงานของจิตเมื่ออยู่ในภาวะคุกคาม หลายประการ อาทิเช่น
1. Fight – Flight – Freeze – Fawn
ภัยพิบัติเป็นพื้นที่และเวลาที่รวมกันเป็นเหตุการณ์ (event) ที่ทำให้มนุษย์เข้าสู่โหมดเอาตัวรอด (survival mode) ในภาวะนี้ มนุษย์จะมีการกระทำแตกต่างกันไปเพื่อเอาตัวรอด เช่น
– Fight คนที่ลุกขึ้นกอบกู้ ช่วยคนอื่น (พลังบวก) หรือทำร้าย ข่มเหงผู้อื่น (พลังลบ)
– Flight คนที่หนีเอาตัวรอด อาจดูเหมือนไม่ช่วยใคร
– Freeze คนที่นิ่งเฉย ทำอะไรไม่ถูก
– Fawn คนที่ยอมจำนนต่ออำนาจ เพื่อรักษาความปลอดภัยของตนเอง
กลไกเหล่านี้ไม่ใช่ นิสัย (habit) ที่จะเกิดซ้ำหรือเกิดเสมอไป แต่เป็นปฏิกิริยาของสมองในระดับ neuro-cognitive ซึ่งจะมีความเป็นครั้ง ๆ ไปในการเกิดขึ้น แต่เราอาจเรียนรู้และทำซ้ำได้ในอนาคตเช่นกัน
2. ความเชื่อ (Belief System) และแบบจำลองโลก (World Model)
มนุษย์ได้รับการศึกษาเรียนรู้และมีโลกทัศน์ที่แตกต่างกันไป จึงมีระบบความเชื่อและแบบจำลองโลกในอุดมการณ์ของตนซึ่งในเหตุวิกฤติ เขาจะเลือกทำตามความเชื่อและแบบจำลองโลกโดยทันที (simultaneously choose) เช่น
– ผู้เสียสละ มักมีแบบจำลองโลกที่ความร่วมมือช่วยให้รอด
– ผู้ก่ออาชญากรรม มีแบบจำลองโลกที่ทรัพยากรขาดแคลน ต้องแย่ง
– ผู้ตำหนิและโวยวาย มีแบบจำลองโลกที่ต้องควบคุมสถานการณ์ด้วยการกล่าวโทษ
แบบจำลองเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากประสบการณ์ทั้งชีวิต จึงเกิดผ่านการเรียนรู้เชิงปัญญาสังคม (social cognitive learning) ซึ่งอาจได้จากประสบการณ์ตรงและประสบการณ์ทางอ้อม เช่น การเรียนรู้ การได้รับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆ เป็นต้น
3. ตัวตน (Self) และความกลัว (Fear)
ในยามวิกฤติ มนุษย์จะแสดงตัวตนที่ชัดเจน อาจจะเปิดเผยตัวตนในระดับ id หรือ ego ที่ชัดที่สุดที่ดำรงอยู่ในตน แต่ตนอาจเปิดหรือเก็บซ่อนไว้ สถานการณ์วิกฤติเป็นเงื่อนไขในการเปิดเผยตัวตนของแต่ละคน เช่น
– บางคนมีตัวตนที่ดี มี superego ย่อมพร้อมช่วยคนอื่น
– บางคนหดตัวเข้าสู่ตัวตนเล็ก ๆ ก็มุ่งปกป้องตนโดยไม่สนผู้อื่น
ปรัชญาจิตวิญญาณ:
หากปรัชญาจิตตั้งคำถามว่า เราคิดอย่างไร? ปรัชญาจิตวิญญาณจะตั้งคำถามว่า เรามีชีวิตเพื่ออะไร? เมื่อมนุษย์เผชิญภัยพิบัติ พลังจิตวิญญาณ (Spirit) เป็นแรงขับในระดับความหมายที่จะกำหนดทิศทางการกระทำ อาทิเช่น
1. ผู้ช่วยเหลือและผู้เสียสละ
ในระดับของจิตวิญญาณแห่งความเป็นหนึ่งเดียว จิตวิญญาณนั้นจะมุ่ง (intention) ที่จะกระทำในลักษณะของผู้ที่ช่วยเหลือผู้อื่น ผ่านแรงขับภายในว่า ชีวิตของเราเชื่อมโยงกับชีวิตผู้อื่น นี่คือ รูปแบบจิตวิญญาณที่ปรากฎในคำสอนของศาสนาพุทธ เรื่องโพธิจิต ศาสนาคริสต์ เรื่อง ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข (agape / unconditional love) ศาสนาเต๋า ในเรื่องการตอบสนองอย่างเป็นส่วนหนึ่งของเต๋า
2. ผู้เฉยเมยหรือดูดาย
ในระดับของจิตวิญญาณที่ปิดตัว จิตวิญญาณที่ปิดกั้นตนเองหรือได้รับผลกระทบที่ทำให้แข็งตัวจากประสบการณ์ชีวิต จิตวิญญาณนั้นอาจป้องกันตัวด้วยความเฉยชา (inertia)
3. ผู้ทำร้ายและผู้ก่ออาชญากรรม
ในระดับจิตของวิญญาณที่ถูกความกลัวครอบงำ ความกลัวเปลี่ยนมนุษย์ให้ห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ ความกลัวสุดขีดขยายเงา (shadow) ออกมาแล้วสถาปนา (projection) เป็นความรุนแรง
4. ผู้ตำหนิ โวยวาย
ในระดับจิตวิญญาณที่ถูกความโกรธปิดกั้น จิตวิญญาณของบุคคลเหล่านี้เกิดภาวะการยึดมั่นในตัวตนของตนอย่างเต็มกำลัง เกิดความต้องการควบคุมโลกเพื่อปกป้องความไม่มั่นคงภายในตนเอง
แนวคิดสำนักอีเลีย
ปาร์เมนิเดส เสนอว่า ความเป็นจริงแท้ (The One) นั้นนิรันดร์ เที่ยงตรง ไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วน โลกแห่งการปรากฏ (doxa) เต็มไปด้วยความหลากหลาย ความวุ่นวาย และความเข้าใจผิด ภัยธรรมชาติทำให้เราเห็นการแตกตัวของโลกแห่งการปรากฏนี้ชัดกว่าเวลาใด ๆ ภัยพิบัติจึงดำรงอยู่ในฐานะการทดสอบความจริงแท้ (Being) กับความปรากฏ (Appearance)
1. การตอบสนองของมนุษย์เป็นเพียงมายาแห่งการปรากฏ
ผู้ดี–ผู้ร้าย
ผู้ช่วย–ผู้ทำลาย
ผู้ตำหนิ–ผู้เงียบเฉย
คู่ตรงข้ามเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงความแตกต่างในระดับปรากฏการณ์ ไม่ใช่ความจริงแท้ของมนุษย์ในฐานะส่วนหนึ่งของสภาวะเอกภาพ
2. ใต้ความกลัวคือธรรมชาติเดียวกัน
แม้ผู้ก่ออาชญากรรมกับผู้เสียสละดูต่างกันสุดขั้ว แต่มุมมองของสำนักอีเลียจะสะท้อนให้ย้อนคิดว่า ทั้งหมดคือคลื่นต่างระดับบนผืนน้ำเดียวกัน คือ Being อันเป็นหนึ่งเดียว
3. ภัยพิบัติในฐานะการเผยแสงแห่งความจริง
เมื่อโลกภายนอกแตกสลาย ความจริงแท้ (being) ของผู้คนจึงถูกเผยให้เห็น แต่สิ่งที่ถูกเผยนั้นยังคงเป็นเพียงโลกแห่งการปรากฏ มิใช่ความจริงสูงสุด เป็นเพียงเงาของ Being เท่านั้น
| ปรากฏการณ์ | Philosophy of Mind | Philosophy of Spirit | สำนักอีเลีย |
|---|---|---|---|
| คนช่วยคน | ระบบประสาท + empathy | ความผสานหนึ่งเดียว | การปรากฏของความดีในโลกมายา |
| คนเสียสละ | การข้ามผ่านความกลัว | จิตวิญญาณเปิดกว้าง | เงาแห่ง Unity |
| คนเฉยเมย | freeze/flight | spirit ปิดตัว | ความคลาดเคลื่อนของการรับรู้ |
| คนทำร้าย | fight mode เชิงลบ | Spirit ถูกความกลัวครอบงำ | ระดับต่ำสุดของ doxa |
| คนก่ออาชญากรรม | reasoning collapse | เงาภายในตนเด่นชัด | ความแตกตัวของมายา |
| คนตำหนิ โวยวาย | cognitive dissonance | ego เต็มที่ | ความหลงผิดของ appearance |
| คนตกเป็นเหยื่อ | ความอ่อนแอทางระบบจิต | Spirit ถูกตัดขาด | การถูกครอบงำของโลกปรากฏ |
สรุป
เมื่อเราต้องการอธิบายปรากฎการณ์ในเชิงภววิทยา (ontological) โดยการผสานมุมมองต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ในที่นี้ จะเห็นว่า ระดับจิต (mind) จะให้ภาพกลไก ระดับจิตวิญญาณ (spirit) ให้ภาพของคุณค่าและพลังภายในที่มุ่งสู่ระดับของความหมาย (meaning) และจากมุมมองเปรียบเทียบของสำนักอีเลีย (Eleatic) ให้ภาพภววิทยาและความจริงสูงสุด ซึ่งสังเคราะห์ได้ว่า ภัยพิบัติโดยตัวมันเองเป็นเหมือนกระจกสองชั้น ที่สะท้อนทั้ง ความกลัวทางชีวภาพ (biological fear) ความหมายทางจิตวิญญาณ (spiritual meaning) และมายาที่บดบังความเป็นจริงซึ่งเป็นเอกภาพ (oneness)
เมื่อมนุษย์มองเห็นว่าความแตกต่างเหล่านี้เป็นเพียงปรากฏการณ์บนผิวคลื่น อาจเกิดความเข้าใจบางอย่างที่นำไปสู่ความกรุณา (compassion) และการแสวงหาความจริงที่ลึกกว่าการแบ่งแยกผู้คนออกเป็นดีหรือร้าย และลดการกล่าวโทษโดยละวางระบบคุณค่าและจารีตของสังคมลงได้ เพื่อที่ความสงบสันติจะเกิดขึ้นภายหลังจากภัยพิบัติอย่างแท้จริง

