ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต

บทความนี้เสนอว่า ความรู้ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยตรรกะแห่งการแข่งขันและผลประโยชน์ ไม่เพียงล้มเหลวในการสร้างสันติภาพ หากแต่ยังกลายเป็นปัจจัยเร่งความขัดแย้งรูปแบบใหม่ สังคมควรมี “กระบวนทรรศน์หลังนวยุคสายกลาง” ควบคู่กับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นฐานจริยศาสตร์ในการคัดกรอง ใช้ และแบ่งปันความรู้ เพื่อสร้างสังคมที่สันติอย่างยั่งยืน

บทนำ: คำถามเรื่องความรู้กับสันติภาพ

นับตั้งแต่ยุคเรืองปัญญา (Enlightenment) เป็นต้นมา สังคมตะวันตกได้วาง “ความรู้” ไว้ในฐานะพลังปลดปล่อยมนุษย์จากความไม่รู้ ความงมงาย และความรุนแรง แนวคิดนี้สืบทอดมาสู่สังคมร่วมสมัยในรูปของ “สังคมฐานความรู้” ซึ่งเชื่อว่า การสะสมข้อมูล เทคโนโลยี และนวัตกรรม จะนำไปสู่ความก้าวหน้า เสถียรภาพ และสันติภาพในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ของโลกยุคสารสนเทศกลับเผยให้เห็นความย้อนแย้งอย่างลึกซึ้ง: โลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลกลับมิได้สงบสุขมากขึ้นอย่างที่คาดหวัง บทความนี้จึงตั้งคำถามเชิงปรัชญาว่า ปัญหาอยู่ที่ “ความรู้” เอง หรืออยู่ที่ “กรอบความคิด” และ “แรงจูงใจ” ที่ใช้ความรู้นั้น

มายาคติของสังคมความรู้: เมื่อความรู้ไม่เท่ากับสันติภาพ

มายาคติสำคัญของสังคมฐานความรู้คือ ความเชื่อเชิงเส้นตรงว่า

“ยิ่งรู้มาก → ยิ่งพัฒนา → ยิ่งสงบสุข”

ในเชิงปรัชญา ความเชื่อนี้สะท้อนวิธีคิดแบบนวยุค (Modernism) ที่ยึดถือเหตุผลเชิงเครื่องมือ (instrumental rationality) ตามแนวของฟรานซิส เบคอน หรือแม็กซ์ เวเบอร์ ซึ่งมองความรู้เป็น “พลัง” สำหรับควบคุมธรรมชาติและสังคม

ปัญหาอยู่ตรงที่ เมื่อความรู้ถูกผูกเข้ากับการแข่งขัน (competition) ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี หรือภูมิรัฐศาสตร์ ความรู้จึงกลายเป็นทุน (capital) มากกว่าจะเป็นปัญญา(wisdom) ผลลัพธ์คือ

  1. การผูกขาดข้อมูล
  2. การใช้ความรู้เป็นอำนาจต่อรอง
  3. การสร้างความเหลื่อมล้ำเชิงปัญญา (epistemic inequality)

แทนที่ความรู้จะช่วยลดความรุนแรง มันกลับถูกใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของความขัดแย้งในรูปแบบใหม่

กับดักของการสะสมข้อมูล: Data without Wisdom

ในยุคดิจิทัล ความรู้มักถูกลดทอนเหลือเพียงข้อมูล (data) ที่สามารถเก็บ วัด และแลกเปลี่ยนได้ ปัญหาที่นักปรัชญาหลังสมัยใหม่ เช่น ฌ็อง-ฟรองซัวส์ ลีโยตาร์ ชี้ให้เห็น คือ การที่ความรู้ถูกทำให้มีคุณค่าเพียงในแง่ของ “ประโยชน์ใช้สอย” และ “ประสิทธิภาพ”

การสะสมข้อมูลโดยขาดกรอบคุณธรรมและการใคร่ครวญเชิงปัญญา นำไปสู่

  1. ความหวาดระแวง (suspicion) ระหว่างบุคคลและรัฐ
  2. การแข่งขันผลรวมเป็นศูนย์ (zero-sum thinking)
  3. ความกลัวว่าจะล้าหลัง หากไม่สะสมให้มากพอ

ในบริบทนี้ ความรู้มิได้ทำให้มนุษย์ไว้วางใจกันมากขึ้น แต่กลับทำให้ต่างฝ่ายต่างระแวงกันมากขึ้น

กระบวนทรรศน์หลังนวยุคสายกลาง: จากการแข่งขันสู่การแบ่งปัน

ทางออกที่ปรัชญานำเสนอคือ “กระบวนทรรศน์หลังนวยุคสายกลาง” (Moderate Postmodern Paradigm) ซึ่งไม่ปฏิเสธเหตุผลหรือความรู้แบบวิทยาศาสตร์ หากแต่ปฏิเสธความสุดโต่งของการทำให้ความรู้เป็นเพียงเครื่องมือแห่งอำนาจ

กระบวนทรรศน์นี้เน้นการเปลี่ยนแกนคิดจาก

Competition → Sharing

Knowledge as Power → Knowledge as Responsibility

ความรู้ในกรอบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องสะสมเพื่อเอาชนะผู้อื่น แต่เป็นสิ่งที่ต้อง “แบ่งปันอย่างมีความรับผิดชอบ” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตร่วมกัน สันติภาพจึงมิได้เกิดจากการรู้มากกว่าใคร หากเกิดจากการรู้ว่า ควรใช้ความรู้อย่างไร และเพื่อใคร

ความสัมพันธ์กับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง: จริยศาสตร์ของการใช้ความรู้

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้กรอบจริยศาสตร์ที่สำคัญแก่สังคมฐานความรู้ โดยเฉพาะหลัก

  1. ความพอประมาณ – ไม่สะสมข้อมูลเกินความจำเป็นจนกลายเป็นภาระหรืออำนาจ
  2. ความมีเหตุผล – ใช้ความรู้บนฐานของการพิจารณาผลกระทบต่อผู้อื่นและสังคม
  3. ภูมิคุ้มกัน – สร้างความสามารถในการกลั่นกรองข้อมูล ไม่ตกเป็นเหยื่อของการแข่งขันเชิงความรู้

เมื่อผสานเข้ากับกระบวนทรรศน์หลังนวยุคสายกลาง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงช่วยเปลี่ยนสังคมฐานความรู้จาก “สนามแข่งขัน” ให้กลายเป็น “พื้นที่เรียนรู้ร่วมกัน”

ข้อคิดสำคัญ
1. Knowledge is NOT always Virtue: ความรู้ไม่ใช่คุณธรรมเสมอไปหากปราศจากการขัดเกลา การมีข้อมูลมหาศาล (Big Data) ไม่เท่ากับการมี “ปัญญา” (Wisdom) ที่จะนำไปสู่ความสงบสุข

2. Peace comes from Sharing, not Competing: สันติภาพที่แท้จริงในสังคมอุดมปัญญา ไม่ได้เกิดจากใครรู้มากกว่ากัน แต่เกิดจากใคร “แบ่งปันและเกื้อกูล” ได้มากกว่ากัน

3. Internal before External: สันติภาพภายนอก (สังคมสงบสุข) เริ่มต้นจากสันติภาพภายใน (จิตใจที่ไม่ถูกครอบงำด้วยความโลภในการสะสมข้อมูล/วัตถุ)

ารประยุกต์ใช้แนวคิดในระดับบุคคลและสังคม
1. เปลี่ยน Mindset การเรียนรู้: จากเรียนรู้เพื่อแข่งขัน/เอาชนะ/สะสมเกรดหรือใบปริญญา เป็นเรียนรู้เพื่อแบ่งปัน/แก้ปัญหา/ช่วยเหลือผู้อื่น

2. ประยุกต์ใช้ “Digital Sufficiency” (ความพอเพียงในยุคดิจิทัล) คือ

  • พอประมาณ: บริโภคข่าวสารและข้อมูลแต่พอดี ไม่เสพติดดราม่าหรือข้อมูลขยะ
  • มีเหตุผล: ไตร่ตรองข้อมูลก่อนเชื่อ (Critical Thinking) ไม่แชร์ต่อความเกลียดชัง (Hate Speech)
  • มีภูมิคุ้มกัน: รู้เท่าทันสื่อ ไม่ตกเป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อ

3. สร้างพื้นที่แห่งการแบ่งปัน: ในที่ทำงานหรือชีวิตส่วนตัว ปรับเปลี่ยนจากการเก็บข้อมูลไว้คนเดียว (Silo) เป็นการแชร์ความรู้ (Knowledge Sharing) ให้เพื่อนร่วมงาน เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือแทนการแข่งขัน

บทสรุป

บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า สันติภาพมิได้เป็นผลลัพธ์อัตโนมัติของการสะสมความรู้ หากแต่เป็นผลของกรอบคิด คุณธรรม และกระบวนทรรศน์ที่กำกับการใช้ความรู้นั้น สังคมฐานความรู้ที่ยังยึดการแข่งขันเป็นศูนย์กลาง ย่อมผลิตความขัดแย้งรูปแบบใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในทางกลับกัน สังคมที่กล้าก้าวข้ามมายาคติของความรู้แบบนวยุค และหันมาใช้กระบวนทรรศน์หลังนวยุคสายกลาง ร่วมกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อาจเป็นหนทางสำคัญในการสร้าง “สันติภาพเชิงปัญญา” ที่ยั่งยืนในยุคสารสนเทศ


Leave a comment