ผศ.(พิเศษ) ดร.เอนก สุวรรณบัณฑิต

บทนำ

ในประวัติศาสตร์ปรัชญาตะวันตก “จิต” หรือ spirit / mind / Geist มิได้เป็นเพียงหัวข้อหนึ่ง หากเป็นแก่นกลางของการตั้งคำถามว่า มนุษย์คืออะไร? และโลกมีความหมายอย่างไร?

การอุปมา (metaphor) ที่สำคัญในการเข้าใจในระดับภววิทยา (ontology) นั้นจะต้องกำหนดตนในฐานะผู้ที่ดำรงอยู่ก่อนภาษา ก่อนอัตตา และก่อนอารยธรรม เพื่อที่จะได้ไม่เป็นส่วนหนึ่งของผู้ได้รับอิทธิพลจากบริบทแวดล้อมและผู้สืบทอดความเชื่อหนึ่ง ๆ ซึ่งการกำหนดตนในฐานะผู้สังเกตหรือบุคคลที่ 3 นี้ จะทำให้การเป็นเครื่องมือเชิงปรัชญา (philosophical device) มีสมรรถนะในการตั้งคำถามต่อสมมติฐานพื้นฐานของ philosophy of spirit ได้แก่

  1. การลดจิตให้เป็นวัตถุหรือฟังก์ชันของสมอง
  2. การแยกผู้รู้ (subject) ออกจากโลก (object)
  3. การทำให้จิตเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลของปัจเจก

บทความนี้ การมี standpoint of spirit ที่อยู่นอกกรอบมนุษยนิยม จะช่วยเปิดให้เห็นจิตในฐานะความสัมพันธ์และกระบวนการมากกว่าสิ่งของ

จิตใน Philosophy of Spirit
1. แนวคิดทวินิยมของเดการ์ต (Cartesian Dualism) จุดตั้งต้นสำคัญของ philosophy of spirit คือ Rene Descartes ซึ่งแยก res cogitans (จิต) ออกจาก res extensa (กาย/โลก) โมเดลนี้วางจิตเป็นสิ่งที่คิดที่ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว เป็น substance ซึ่งทำให้เราสามารถตั้งคำถามโดยตรงต่อสมมติฐานนี้ว่า จิตไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในสิ่งมีชีวิต แต่เป็นสิ่งที่แผ่ออก และเชื่อมโยงกับโลก ในมุมมองนี้ แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับการวิพากษ์ dualism ในสาย German Idealism และ phenomenology

2. Geist ของ Hegel และจิตในฐานะประวัติศาสตร์ ซึ่งแนวคิดของ Hegel นั้น ไกซ์นี้มิใช่จิตปัจเจก แต่เป็นกระบวนการ (process) ของประวัติศาสตร์ของการรู้ตัวเองของความจริง มองว่า จิตนั้นคือความทรงจำของโลก สิ่งนี้สะท้อนแนวคิดว่า จิตไม่เคยเป็นจุดเริ่มต้นเดี่ยว ๆ แต่เป็นผลรวมของประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ และการก่อตัวของความหมาย จิตจึงมีความเป็น objective spirit ไม่คิดแบบมนุษย์ แต่เป็นสื่อกลางของความหมายที่สะสมและส่งต่อ

จิตในฐานะสนามแห่งการปรากฏ

1. Phenomenology ปรากฎการณ์วิทยามองว่า จิตไม่ใช่วัตถุ แต่คือเงื่อนไขของการปรากฏ Husserl และ Heidegger เปลี่ยนคำถามจาก จิตคืออะไร? มาเป็น อะไรทำให้สิ่งต่าง ๆ ปรากฏได้? และไตร่ตรองผ่านแนวคิดของกระจกเงา จิตจึงเป็นกระจกเงาอย่างหนึ่ง กล่าวคือ จิตไม่ใช่เนื้อหา แต่เป็น clearing ที่สิ่งต่าง ๆ ปรากฏ ไม่ได้เป็นโลก แต่เป็นที่ที่โลกเผยตัวออกมาอย่างเงียบงัน

2. Heidegger ได้มองผ่านแนวคิด Being, World, และ Spirit ที่ไม่ใช่ Subject โดยปฏิเสธการเข้าใจจิตในฐานะ subject ภายใน แต่เสนอ Dasein ในฐานะ being-in-the-world ดังนั้น spirit ไม่ใช่สิ่งเหนือโลก แต่เป็น mode of dwelling ในโลก นั่นคือ จิตเพียงมาพักอาศัยในโลก และบ้านที่แท้จริงคือ ความรู้สึกตัวในปัจจุบัน การเข้าใจผ่านแนวคิดของไฮเดกเกอร์นี้จะเปิดพื้นที่ให้การดำรงอยู่ปรากฎ (field of appearing) ให้เราเห็น

ข้อวิพากษ์จิตใน Subject–Object Dualism

1. ปรัชญาจิตมักมองว่า จิตอยู่ในฐานะผู้สร้างและผู้ถูกสร้าง ซึ่งในทฤษฎีความฝันจะมองว่า เราเป็นทั้งผู้ฝันและตัวความฝันเอง แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวคิด post-Kantian และ process philosophy ของ Whitehead ซึ่งแทนที่จะถามว่า จิตสะท้อนโลกอย่างไร? แต่เราจะถามใหม่ว่า โลกและจิตเกิดร่วมกันอย่างไร? ในมุมมองนี้ จิตไม่ใช่ภาพสะท้อนของโลก (ปรากฎการณ์วิทยา) และโลกไม่ใช่วัตถุของจิต (Hegel) แต่ทั้งสองเป็นการปรากฏร่วมกันในกระบวนการเดียว

2. จิตวิญญาณกับความหมายในโลก แนวคิด postmodern มีปัญหาสำคัญคือ เราจะพูดถึง spirit อย่างไร โดยไม่กลับไปสู่แบบแผนอภิปรัชญา (metaphysics) แบบเก่า เพื่อเสนอทางออกเชิงปรัชญาใหม่ ๆ แนวคิด postmodern มองว่า จิตวิญญาณไม่ใช่สิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติ แต่คือความสามารถของโลกในการรู้ตัวเองผ่านรูปแบบต่าง ๆ มนุษย์จึงไม่ใช่เจ้าของ spirit แต่เป็นหนึ่งในช่องทางของ spirit

เป้าหมายของการดำรงอยู่ของจิต จิตวิญญาณ

แนวคิดคลาสสิกมองว่า ความรู้สูงสุดคือ การมีคำตอบสุดท้าย แต่ใน philosophy of spirit นั้น กลับมองหาการกลับทิศทางเพื่อเป็นรากฐานในการคิดเพื่อเข้าใจหลักการในทางศาสนาและเทววิทยาที่มองว่า จิตมุ่งไปสู่การหลุดพ้น (liberation) ซึ่งไม่ใช่การเข้าถึงความจริงสูงสุด ซึ่งเป็นการประสบความสำเร็จเชิงญาณวิทยา (epistemic achievement) แต่คือ การผ่อนคลายหรือการคลายตัวเชิงภววิทยา (ontological relaxation) นั่นคือ การไม่ต้องกำหนดนิยามหรือพิสูจน์จิต เนื่องจากการเห็นข้อจำกัดของโครงสร้าง subject–object ที่จะอธิบายจิตวิญญาณ ในมุมมองนี้ philosophy of spirit จึงมีจุดเชื่อมต่อกับ ปรัชญาเชิงภาวนา (contemplative philosophy) โดยไม่สูญเสียความเข้มงวดเชิงปรัชญา

สรุป

บทความนี้มุ่งขยายแนวคิดเรื่องจิต และการดำรงอยู่ ที่นำเสนอผ่านกรอบวิเคราะห์เชิงปรัชญาตะวันตกในสาขา Philosophy of Spirit โดยเชื่อมโยงกับประเด็นคลาสสิกและร่วมสมัย เช่น ปัญหาจิต–กาย (mind–body problem) จิตในฐานะกระบวนการ (process) การรู้ตัว (self-awareness) ความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับโลก และสถานะของความหมายและจิตวิญญาณในโลกสมัยใหม่

ผู้เขียนเสนอว่า การทำความเข้าใจในฐานะโมเดลเชิงปรัชญา (philosophical model) ที่สามารถใช้ตั้งคำถามต่อโมเดลจิต (mind/spirit model) แบบวัตถุนิยมและปัจเจกนิยม โมเดลเชิงปรัชญานี้มอง spirit โดยไม่ลดจิตให้เป็นวัตถุ ไม่แยกจิตออกจากโลก ไม่ผูก spirit ไว้กับปัจเจกมนุษย์ มองจิตเป็นกระบวนการแห่งการปรากฏ (field of appearing) และความหมาย ในกรอบ philosophy of spirit แนวคิดนี้เปิดพื้นที่ใหม่ให้การสนทนาระหว่าง German Idealismของเฮเกล, Phenomenology ของไฮเดกเกอร์ และ Process Philosophy ของไวท์เฮด และปรัชญาเชิงภาวนา สุดท้าย spirit มิใช่สิ่งที่เราครอบครอง
แต่คือสิ่งที่เรามีส่วนร่วมอยู่เสมอ รู้อย่างเงียบ ๆ และทำให้โลกยังคงมีความหมาย


Leave a comment