สิอร เวสน์;

ความซับซ้อนของชีวิตมนุษย์ ศิลปะและธรรมะ ได้ปรากฏตัวเป็น 2 กระจกเงาที่สะท้อนความจริง ความงาม และความหมายที่ลึกซึ้งของการมีอยู่ (being) การเสพงานศิลปะและการปฏิบัติธรรมต่างเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้เพียงแค่เกิดขึ้นในโลกภายนอก แต่กลับดึงผู้คนให้ดำดิ่งสู่ภายใน ผ่านกระบวนการสร้างและค้นพบความหมายในแบบที่ไม่เหมือนใคร ทฤษฎี Hermeneutics หรือศาสตร์แห่งการตีความ ชี้ให้เห็นถึงความเฉพาะบุคคล (Subjective) ที่เป็นแก่นแท้ของทั้งสองกระบวนการนี้ ความหมายไม่ได้ถูกกำหนดโดยศิลปินหรือคำสอน แต่เกิดขึ้นในมิติที่ผู้ชมและผู้ปฏิบัติหลอมรวมขอบฟ้าของตัวเองเข้ากับสิ่งที่พวกเขาเผชิญหน้า

“การหลอมรวมขอบฟ้า” (Fusion of Horizons) ของ ฮานส์-จอร์จ กาดาเมอร์ (Hans-Georg Gadamer 1900-2002) ที่แสดงถึงการที่ผู้ตีความนำ “ขอบฟ้า” ของความเข้าใจเดิมของตนเองมาหลอมรวมกับ “ขอบฟ้า” ของสิ่งที่เขาเผชิญหน้า การหลอมรวมนี้ไม่ได้หมายถึงการยอมรับความหมายที่กำหนดไว้ แต่เป็นการสร้างความหมายใหม่ที่เชื่อมโยงทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน

ทฤษฎี Hermeneutics มองว่าการเสพงานศิลปะไม่ได้เป็นเพียงการจ้องดูหรือรับรู้ แต่เป็นกระบวนการของ “บทสนทนา” ระหว่างผู้ชมกับตัวงาน บนพื้นที่ซึ่งความหมายของศิลปะไม่ได้ตายตัว หากแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ในทุกครั้งที่มีการตีความ ความ Subjective ของศิลปะเกิดขึ้นจากการที่ผู้ชมไม่ได้เป็นเพียงผู้รับสารแบบเฉย ๆ แต่กลับมีบทบาทสำคัญในการสร้างความหมายร่วมกับตัวงาน Hermeneutics สอนเราว่าการตีความศิลปะคือกระบวนการที่ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือสิ้นสุด ผู้ชมเริ่มต้นด้วยอคติ (prejudice) หรือความคาดหวัง (expectation) บางอย่าง เมื่อพวกเขาสัมผัสกับงานศิลปะ ความเข้าใจนั้นอาจเปลี่ยนแปลง และนำพวกเขากลับไปตั้งคำถามใหม่อีกครั้ง วงจรนี้ทำให้งานศิลปะกลายเป็นสิ่งที่มีชีวิต เพราะมันเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับมุมมองของผู้ชมที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ

ศิลปินสร้างงานศิลปะโดยมุ่งหวังที่จะถ่ายทอดบางสิ่ง แต่สิ่งที่ถูกถ่ายทอดไม่เคยเหมือนกับสิ่งที่ผู้ชมได้รับ นี่คือ ความงามของศิลปะในมุมมอง Hermeneutics ที่เชื่อว่าความหมายไม่ได้อยู่ในมือของศิลปิน แต่เกิดขึ้นในช่องว่างระหว่างผู้สร้างและผู้เสพงานศิลปะ

“ความ Subjective” ที่ Hermeneutics ให้ความสำคัญคือ ความสามารถของมนุษย์ในการสร้างความหมายใหม่ ๆ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน การเสพงานศิลปะเป็นกระบวนการที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้เชื่อมต่อกับงานผ่าน อารมณ์ ความคิด และประสบการณ์ส่วนตัว ผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าภาพวาดของแวนโก๊ะ อาจมองเห็นความงดงามของธรรมชาติ ในขณะที่อีกคนหนึ่งอาจสัมผัสถึงความเปล่าเปลี่ยวของจิตวิญญาณของศิลปิน ภาพวาดหนึ่งชิ้นจึงไม่มีความหมายตายตัว แต่มันเปลี่ยนแปลงไปในทุกครั้งที่มีสายตาใหม่มาสัมผัส

ในการปฏิบัติธรรม ขอบฟ้าของคำสอนดั้งเดิม เช่น ความไม่เที่ยง (อนิจจัง) หลอมรวมกับขอบฟ้าของผู้ปฏิบัติที่เต็มไปด้วยประสบการณ์และความรู้สึกส่วนตัว ความไม่เที่ยงอาจถูกมองว่าเป็นเพียงคำพูดเชิงปรัชญาในช่วงแรกของการปฏิบัติ แต่เมื่อผู้ปฏิบัติเริ่มเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น การสูญเสียหรือความล้มเหลว คำสอนนี้จะถูกตีความในมิติที่ลึกซึ้งและเฉพาะตัวมากขึ้น

นอกจากนี้ กาดาเมอร์ยังชี้ให้เห็นว่า “อคติ” ไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง แต่กลับเป็นส่วนสำคัญของการตีความ อคติในที่นี้หมายถึง กรอบความคิดหรือประสบการณ์ที่ผู้ตีความนำติดตัวมาด้วยเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ต้องตีความ ผู้ที่มีพื้นฐานวัฒนธรรมที่ต่างกันย่อมตีความงานศิลปะหรือคำสอนธรรมะในลักษณะที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ผู้ที่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมตะวันตกอาจมองเจดีย์ในศาสนาพุทธเป็นโครงสร้างที่งดงามทางสถาปัตยกรรม ขณะที่ผู้ที่เติบโตในวัฒนธรรมพุทธอาจมองว่าเจดีย์เป็นสัญลักษณ์ของความหลุดพ้น

พอล ริเกอร์ (Paul Ricoeur 1913-2005) เสริมแนวคิด Hermeneutics โดยเน้นที่ความหลากหลายของความหมายในงานศิลปะและการเล่าเรื่อง (narrative) เขาเชื่อว่างานศิลปะและคำสอนธรรมะมีลักษณะของ “ข้อความ” ที่เปิดให้ผู้ตีความสามารถสร้างความหมายใหม่ได้หลากหลายตามประสบการณ์ส่วนตัว ตัวอย่างเช่น งานศิลปะแบบ Abstract ที่ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน เปิดโอกาสให้ผู้ชมสามารถสร้าง “เรื่องราว” ของตัวเองขึ้นมาผ่านการมองเห็นและความรู้สึก ในขณะที่คำสอนธรรมะ เช่น การพิจารณา “ปฏิจจสมุปบาท” อาจถูกตีความเป็นโครงสร้างที่อธิบายเหตุปัจจัยในธรรมชาติสำหรับบางคน แต่กับอีกคนหนึ่งอาจกลายเป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของชีวิต

ท้ายที่สุด การเสพงานศิลปะและการปฏิบัติธรรมเป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้มนุษย์ค้นพบความหมายที่ลึกซึ้งในโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ Hermeneutics สอนให้เราเข้าใจว่า ความ Subjective นี้ ไม่ใช่ข้อจำกัด แต่กลับเป็นพลังที่ช่วยให้มนุษย์สามารถสร้างความหมายใหม่ในทุกครั้งที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับงานศิลปะหรือคำสอนธรรมะ ความหมายเหล่านี้ไม่มีวันหยุดนิ่ง แต่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทและประสบการณ์ของผู้ตีความ ทำให้ทั้งศิลปะและธรรมะยังคงมีชีวิตชีวาและเกี่ยวข้องกับผู้คนในทุกยุคทุกสมัย


Leave a comment