อ.ดร.รวิช ตาแก้ว บทบรรยาย เมื่อ 24 มีนาคม 2561
บทนำ
ในกระแสของสังคมวิชาการร่วมสมัย การวิจัยมักถูกผูกติดกับภาพลักษณ์ของการเก็บข้อมูลเชิงประจักษ์ การวัดค่า และการวิเคราะห์เชิงสถิติ อย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิงปรัชญา (Philosophical Research) ดำรงสถานะที่แตกต่างออกไปอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ มิได้มุ่งแสวงหาคำตอบผ่านตัวเลขหรือความถี่ของปรากฏการณ์ แต่เป็นการแสวงหาความเข้าใจเชิงลึกต่อ มโนทัศน์ (concepts) คุณค่า (values) ความหมาย (meanings) และ ความจริง (truths) ที่อยู่เบื้องหลังการรับรู้และการปฏิบัติของมนุษย์
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายนิยามของการวิจัยเชิงปรัชญา โครงสร้างพื้นฐานของปรัชญาการวิจัยผ่านกรอบกระบวนทรรศน์ (paradigm) และอภิปรายข้อเสนอในการประยุกต์ปรัชญาหลังนวยุค (postmodernism) กับบริบทสังคมไทย เพื่อสร้างองค์ความรู้ที่ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของทฤษฎีตะวันตกเพียงฝ่ายเดียว
นิยามของการวิจัยเชิงปรัชญา: การวิเคราะห์มโนทัศน์แทนการวัดค่า
การวิจัยเชิงปรัชญาไม่ใช่การวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research) และมิได้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าความจริงสามารถถูกจับต้องและวัดค่าได้โดยตรง หากแต่เป็นการ “วิเคราะห์มโนทัศน์” (concept analysis) เพื่อทำความเข้าใจว่าแนวคิดหนึ่ง ๆ หมายถึงอะไร มีขอบเขตเพียงใด และแฝงด้วยสมมติฐานใดบ้าง
ในประเพณีปรัชญาตะวันตก ตั้งแต่เพลโต อริสโตเติล จนถึงวิตเกนสไตน์และออสติน การตั้งคำถามเชิงปรัชญามักเริ่มจากการตรวจสอบภาษา แนวคิด และโครงสร้างของเหตุผล เช่น คำว่า “ความจริง” “ความยุติธรรม” หรือ “ความรู้” มิได้มีความหมายที่เป็นกลางหรือเป็นธรรมชาติ หากแต่เป็นผลผลิตของกรอบความคิดทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม
ดังนั้น การวิจัยเชิงปรัชญาจึงเป็นการแสวงหาคำตอบในเชิง คุณค่า (What ought to be?) ความหมาย (What does it mean?) และความจริง (What can be considered true?) ผ่านกระบวนการตีความและการใช้เหตุผล มากกว่าการตรวจสอบเชิงสถิติ
เครื่องมือหลักของการวิจัยเชิงปรัชญา: ตรรกะและการวิพากษ์
เครื่องมือสำคัญที่สุดของการวิจัยเชิงปรัชญาคือ ตรรกะ (logic) และ การคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) ตรรกะทำหน้าที่ตรวจสอบความสอดคล้องภายในของข้อโต้แย้ง ส่วนการวิพากษ์ทำหน้าที่เปิดโปงสมมติฐานที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ในชุดความเชื่อหรือวาทกรรมต่าง ๆ
นักปรัชญาอย่างคานท์ ฟูโกต์ หรือฮาเบอร์มาส มิได้เพียงตั้งคำถามว่า “สิ่งนี้จริงหรือไม่” แต่ยังถามต่อว่า “กรอบความคิดแบบใดทำให้สิ่งนี้ถูกนับว่าเป็นความจริงได้” การวิจัยเชิงปรัชญาจึงมีลักษณะเป็น meta-inquiry หรือการวิจัยระดับที่ตั้งคำถามต่อเงื่อนไขของความรู้เอง
กระบวนทรรศน์ของการวิจัย: อภิปราย Ontology, Epistemology และ Methodology
ในกรอบของปรัชญาการวิจัย ความสำคัญของแนวคิดเรื่อง กระบวนทรรศน์ (paradigm) นั้นสอดคล้องกับแนวคิดของ Thomas Kuhn ที่มองว่าวิทยาศาสตร์และความรู้ไม่ได้พัฒนาอย่างเป็นเส้นตรง แต่ถูกกำกับโดยกรอบความคิดพื้นฐานที่นักวิจัยยอมรับร่วมกัน
กระบวนทรรศน์ของการวิจัยประกอบด้วยสามองค์ประกอบหลัก ได้แก่
ภววิทยา (Ontology) ความจริงคืออะไร
คำถามเชิงภววิทยามุ่งสำรวจสถานะของความจริง ว่าความจริงเป็นสิ่งสัมบูรณ์ที่มีอยู่โดยอิสระจากมนุษย์ (realism) หรือเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นผ่านภาษา อำนาจ และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (constructivism) การเลือกจุดยืนทางภววิทยาจะกำหนดขอบเขตของสิ่งที่นักวิจัยถือว่า “มีอยู่จริง” และควรค่าแก่การศึกษา
ญาณวิทยา (Epistemology) เรารู้ความจริงได้อย่างไร
ญาณวิทยาถามถึงวิธีการเข้าถึงความรู้ หากเชื่อว่าความรู้เกิดจากประสาทสัมผัสและการวัดค่า ก็ย่อมนำไปสู่แนวคิดแบบปฏิฐานนิยม (positivism) แต่หากเชื่อว่าความรู้เกิดจากการตีความ ประสบการณ์ภายใน และความเข้าใจเชิงบริบท ก็จะนำไปสู่แนวคิดแบบตีความนิยม (interpretivism)
ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology) เราควรใช้วิธีการใด
ภววิทยาและญาณวิทยาจะสะท้อนออกมาในระเบียบวิธีวิจัย หากเชื่อในความเป็นปรนัยของตัวเลข วิธีการเชิงสถิติย่อมมีความชอบธรรม แต่หากเชื่อว่าความหมายเป็นสิ่งสำคัญ วิธีการเชิงคุณภาพ เช่น การวิเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก หรือการวิเคราะห์วาทกรรม ย่อมเหมาะสมกว่า
ข้อเสนอเชิงวิพากษ์: ปรัชญาหลังนวยุคและบริบทสังคมไทย
ข้อเสนอสำคัญคือ การเชื่อมโยงการวิจัยกับปรัชญาหลังนวยุค (postmodernism) ซึ่งตั้งคำถามต่อ “เรื่องเล่าใหญ่” (grand narrative) และปฏิเสธความจริงหนึ่งเดียวที่อ้างความเป็นสากล
ในบริบทนี้ การนำปรัชญามาประยุกต์ใช้กับสังคมไทย เช่น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือพุทธปรัชญา มิใช่การต่อต้านความรู้ตะวันตก หากแต่เป็นการทำ genealogy of knowledge เพื่อเปิดพื้นที่ให้เสียง ความหมาย และประสบการณ์ที่ถูกกดทับโดยกระบวนทรรศน์แบบตะวันตก
การวิจัยเชิงปรัชญาในสังคมไทยจึงควรทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกสากลกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่มีรากฐานทางวัฒนธรรม และมีศักยภาพในการตอบโจทย์ปัญหาจริงของสังคม
ตกผลึกประเด็นสำคัญ:
“วิธีคิด” สำคัญกว่า “วิธีการ”
ก่อนจะไปเลือกว่าจะใช้แบบสอบถามหรือสัมภาษณ์ นักวิจัยต้องรู้ตัวก่อนว่าตนเองมี “แว่นตา” (Worldview) ในการมองโลกแบบไหน เพราะแว่นตานั้นจะกำหนดผลลัพธ์ของการวิจัย
การวิจัยไม่ใช่แค่การหาข้อมูลใหม่ แต่คือการ “จัดระเบียบความคิด”
การวิจัยเชิงปรัชญาช่วยให้เราเข้าใจรากเหง้าของปัญหา (Root Cause) ในระดับความคิดความเชื่อ ซึ่งลึกซึ้งกว่าการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
ความเป็นกลางไม่มีอยู่จริง (ในเชิงปรัชญา)
นักวิจัยทุกคนมีอคติหรือพื้นฐานความเชื่อบางอย่างติดตัวเสมอ การยอมรับและระบุจุดยืน (Position) ของตัวเองให้ชัดเจน คือความซื่อสัตย์ทางวิชาการ
การประยุกต์ใช้เพื่อการวิจัย
หากคุณต้องการทำการวิจัยหรือศึกษาข้อมูลในเชิงปรัชญา ควรประยุกต์ใช้หลักการดังนี้
1.ตั้งคำถามเชิง “ทำไม” และ “อย่างไร”
เลิกถามแค่ว่า “เกิดอะไรขึ้น” (What) แต่ให้เจาะลึกว่า “ทำไมสิ่งนี้ถึงถูกมองว่าเป็นปัญหา” หรือ “แนวคิดเบื้องหลังการกระทำนี้คืออะไร”
2.ตรวจสอบสมมติฐานของตัวเอง (Self-Reflection)
ก่อนเชื่อข้อมูลหรือเริ่มงานวิจัย ให้ถามตัวเองว่า “เราเชื่อว่าความจริงเรื่องนี้พิสูจน์ได้ด้วยอะไร?” เช่น เชื่อตัวเลข หรือ เชื่อคำบอกเล่า เพื่อเลือกเครื่องมือให้ตรงกับสิ่งที่อยากรู้
3.ใช้การวิเคราะห์เอกสาร (Documentary Research)
ในเชิงปรัชญา ข้อมูลมักอยู่ในตำรา แนวคิด ทฤษฎี ให้ฝึกการอ่านจับประเด็น เปรียบเทียบแนวคิดของนักคิดหลายๆ คน แล้วสังเคราะห์ออกมาเป็นข้อสรุปใหม่ของตัวเอง
4.ฝึกการคิดวิพากษ์ (Critical Thinking)
อย่าเพิ่งเชื่อทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง ให้มองหาข้อโต้แย้ง (Counter-argument) เสมอ เพื่อให้งานวิจัยหรือความคิดของคุณรอบด้านและแข็งแรงขึ้น
บทสรุป
การวิจัยเชิงปรัชญาเป็นการวิจัยที่มุ่งเข้าใจมากกว่าควบคุม และมุ่งตั้งคำถาม มากกว่าให้คำตอบสำเร็จรูป ผ่านการวิเคราะห์มโนทัศน์ การใช้เหตุผล และการวิพากษ์กระบวนทรรศน์ที่กำกับความรู้ การเปิดรับปรัชญาหลังนวยุคและการประยุกต์กับบริบทไทย จึงไม่เพียงเป็นทางเลือกเชิงวิชาการ หากแต่เป็นจุดยืนทางจริยธรรมของนักวิจัยในโลกที่ความจริงมีความหลากหลายและซับซ้อนยิ่งขึ้น

